วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2554

 แบงก์ชาติยันสู้ถึงที่สุด เพื่อให้ระบบแบงก์ดำเนินไปได้ เผยแบงก์สาขาปิดหนีน้ำรวม 295 สาขา
ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เมื่อวันที่ 26 ต.ค. นายเกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ธปท.ยืนยันจะเปิดให้บริการปกติ และดูแลให้ระบบต่างๆ ทั้งชำระเงิน ตลาดการเงิน ดำเนินการต่อไปได้อย่างสุดความสามารถ ส่วนธนาคารพาณิชย์ต่างๆที่เห็นว่าอยู่ในพื้นที่เสี่ยงว่าจะเกิดน้ำท่วม สามารถพิจารณาปิดได้เป็นรายกรณีไป โดยไม่ต้องขออนุญาตจากธปท.

“ความมั่นใจต่อสถานการณ์ต่างๆคงไม่ถึงกับ 100% แต่เราก็พยายามตั้งใจทำให้ดีที่สุด เพื่อให้ระบบดำเนินการต่อไปได้ โดยเฉพาะระบบธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีความจำเป็นต่อประชาชนมาก ทั้งการเบิก ถอนเงินสด ชำระเงินในช่วงจำเป็น แต่หากสาขาไหนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงสามารถปิดได้ทันที โดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่โดยไม่ต้องขออนุญาตล่วงหน้า”

 รายงานข่าวจากธปท. กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์ 13 แห่ง ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย 2 แห่ง และบริษัทเงินทุน 1 แห่ง ปิดสาขารวมกันทั้งสิ้น 295 สาขา โดยส่วนใหญ่ ปทุมธานี นนทบุรี พระนครศรีอยุธยา รวมถึงพื้นที่กรุงเทพฯด้วย

อีกด้าน พระครูสังฆสิทธิกร หัวหน้าฝ่ายศาสนวิเทศ สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช  กล่าวว่า จากการที่สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช  ได้จัดโครงการน้ำพระทัยสมเด็จพระสังฆราช ประทานอุปถัมภ์ผู้ประสบภัยน้ำท่วม  ขอเชิญผู้มีจิตศรัทธา บริจาคเครื่องเวชภัณฑ์ ข้าวสารอาหารแห้ง และเงินเพื่อจัดซื้อเครื่องอุปโภคบริโภค โดยเสด็จพระกุศล สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เพื่อประทานช่วยเหลือพระภิกษุสามเณร และประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมในจังหวัดต่างๆ อาทิ จังหวัดลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี  แต่ขณะนี้ประสบปัญหาขาดสิ่งของบริจาค เครื่องยังชีพ ข้าวสาร อาหารแห้ง ไม่มีภัตตาหาร น้ำไปถวายพระ เณร และชาวบ้านใกล้เคียง จึงขอบริจาคสิ่งของและปัจจัยเพื่อช่วยเหลือพระภิกษุสามเณร และประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมเพิ่มเติม  ณ พระตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร หรือบริจาคผ่านธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาบางลำพู ชื่อบัญชี วัดบวรนิเวศวิหาร น้ำพระทัยสมเด็จพระสังฆราช เลขที่บัญชี  167-0-09973-3  หรือสอบถาม โทร. 02-282-2447 และ 02-281-5052

พระวิจิตรธรรมาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ กล่าวว่า ตามที่คณะสงฆ์ วัดสระเกศ โดยสำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือวัด และผู้ประสบภัยน้ำท่วมของคณะสงฆ์ ขึ้นนั้น ปรากฏว่าขณะนี้ของบริจาคที่จะนำไปช่วยเหลือพระสงฆ์ และประชาชนที่ประสบอุทกภัยหมดแล้ว จึงอยากเชิญชวนพุทธศาสนิกชนในพื้นที่ที่ไม่เสี่ยงต่อภัยน้ำท่วม นำสิ่งของ ข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม มาบริจาคได้ที่วัดสระเกศฯ เพื่อที่ทางวัดจะได้นำไปช่วยเหลือพระสงฆ์ และประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมอยู่ในขณะนี้ โดยสามารถติดต่อได้ที่เบอร์ 02-621-2280 นอกจากนี้ทางสำนักงานส่งเสริมคุณธรรมฯ จะจัดโครงการธรรมะเยียวยาใจช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยจะนำพระวิทยากรจากสำนักงานส่งเสริมคุณธรรมฯ   ลงพื้นที่พูดคุยธรรมะกับประชาชนในศูนย์พักพิงต่างๆ โดยจะเริ่มตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพื่อไปช่วยคลายเครียด คลายความกังวลให้กับประชาชนในศูนย์พักพิง

ด้านสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ได้มอบหมายให้คณะวัดปากน้ำ โดยพระวิเชียรกวี  ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ เป็นหัวหน้าคณะ นำสิ่งของเครื่องอุปโภค บริโภค และสิ่งของที่จำเป็นเบื้องต้น ไปถวายแก่พระภิกษุสามเณร และประชาชนในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  และได้จัดเตรียมเรือ 2 ลำ และติดต่อขอใช้เรือของผู้ใหญ่บ้านในท้องที่มาช่วยลำเรียงสิ่งของไปส่งให้ถึงมือผู้ประสบภัยอย่างแท้จริง ทั้งนี้ เพราะประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีเรือ จึงไม่สามารถออกมารับสิ่งของได้  บางท่านถึงแม้ออกมาได้ ก็ยากลำบาก เพราะต้องใช้กาละมังพลาสติก หรืออ่างเปลผสมปูนผูกเป็นเรือพายมารับสิ่งของยังสถานที่ที่ได้นัดแนะไว้ โดยได้ตั้งจุดมอบสิ่งของที่วัดธรรมนาวา และสถานีรถไฟเชียงราก :   ชุมชนวัดพืชนิมิตร นอกจากนี้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ มอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ในเขตจังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 2 แสนบาท ทั้งนี้ เพื่อนำไปจัดซื้อ เครื่องอุปโภค บริโภค และสิ่งของที่จำเป็นเบื้องต้นถวายแก่พระภิกษุสามเณร และประชาชนในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ ผ่านทางคณะสงฆ์จังหวัดนครสวรรค์ด้วย.

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554

น้ำท่วม

สรุปข่าววันที่21-22ต.ค.54 เวลา18.00-06.00น.

Pic_211091
รพ.ศิริราช เตรียมพร้อม 3 แผนรับมือน้ำท่วม, ผู้ช่วยผู้อำนวยการศปภ. ระบุ ม.31 พรบ.ป้องกันบรรเทาฯ ไม่สามารถเอาผิดย้อนหลังได้, บินไทยตั้งรับน้ำท่วมสุวรรณภูมิ ขนอุปกรณ์ไปอู่ตะเภารองรับเหตุฉุกเฉิน... ทั่วไทย วันที่ 21 ต.ค. 2554 18.13 น. ตร.สภ.ช้างเผือก เมืองเชียงใหม่ วางแผนล่อซื้อยาบ้าจากเอเยนต์ค้ายาให้กลุ่มวัยรุ่น พอสายให้สัญญาณเข้าจับกุมคนร้ายไหวตัวขับรถหนี ไล่ยิงกันเหมือนในหนัง สุดท้าย ตร.ยิงยางแตก หนีไม่รอ 18.26 น. "ร.ต.อ.เฉลิม" สั่งตำรวจตรวจเข้มบ้านเรือนประชาชนช่วงน้ำท่วม แต่ผ่อนผันกฎจราจรให้รถขนวัสดุทำคันกั้นน้ำต่างๆ 18.32 น. ที่ประชุมมีมติแต่งตั้งคณะบุคคลตาม พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แก้ไขสถานการณ์น้ำท่วม ตามมาตรา 31 "วีระ-กิจจา-จรูญ" เด็กเก่ากรมชลประทานตบเท้าร่วมทีมพรึ่บ! 18.46 น. โจรใต้สุดโหด! ยกพวกบุกยิงถล่ม ปลัด อบต.เชิงคีรี จ.นราธิวาส เสียชีิวิตคาห้องทำงาน พร้อมทำลายเครื่องบันทึกภาพวงจรปิด ก่อนหลบหนียังฉกปืนเอ็ม.16 ขับเก๋งผู้ตายหนี จนท.เชื่อคนร้ายที่ 19.00 น. เอไอเอส จัดมาตรการเร่งด่วนช่วยเหลือหน่วยงานและลูกค้า ยืนยันพร้อมดูแลเครือข่ายในสถานการณ์น้ำท่วม เผยการใช้งานวอยซ์และดาต้าพุ่ง 70% โดยเฉพาะพื้นที่ภัยพิบัติ 19.19 น. ไปรษณีย์ตรังย้ำช่วงน้ำท่วมการบริการในภาคใต้ยังปกติ ยกเว้นการรับฝาก-นำจ่ายในพื้นที่อยุธยา-สระบุรี 19.27 น. ตลาดหลักทรัพย์เผยมาร์เก็ตแคป สิ้นไตรมาส 3 ปีนี้อยู่ที่ 7.50 ล้านล้านบาท ลดลง 11.87% จากไตรมาส 2 ขณะที่เดือน ก.ย. ดัชนีหุ้นลดลงมากสุดในภูมิภาคถึง 14.38% เมื่อเทียบกับสิ้นเดือน ส.ค. 19.40 น. รมว.สธ.วิทยา สั่งสำรองเตียงรพ. 3,000 เตียง รองรับผู้ประสบภัยเขตกทม. ปริมณฑล พร้อมเตรียมทีมแพทย์สนามในพื้นที่วิกฤติ 19.45 น. คลองประปาบริเวณเลยแยกพงษ์เพชร เจ้าหน้าที่ของการประปานครหลวงเร่งเจาะพนังกั้นน้ำ ระบายน้ำจากคลองประปาที่จะเอ่อล้นให้ลงสู่คลองบางเขน ขณะที่ชาวบ้านบริเวณริมคลองเก็บข้าวขอ 20.50 น. ตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการเตรียมรับมือน้ำท่วมในช่วง 2-3 วันนี้ ระดมอุปกรณ์เต็มที่ช่วยเหลือประชาชน ประสานการทางพิเศษฯ ใช้ถนนเชื่อมระหว่างสะพานภูมิพล-ทางด่วนกาญจนาภิเษก 20.52 น. สีคิ้วนำร่องแจกใบรับรองการขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี รองรับโครงการจำนำข้าวปี 54/55 สนองนโยบายรัฐบาล 21.08 น. พ่อเมืองปากน้ำผวาจระเข้หลุดช่วงน้ำท่วม รุดตรวจฟาร์มจระเข้สมุทรปราการ พอใจมาตรการป้องกัน 3 ชั้น ด้านเจ้าของฟาร์มการันตี "ไอ้เคี่ยม"ไม่หลุดทำร้ายประชาชนแน่นอน มีมาตรการป้อง 21.19 น. พ่อเมืองปทุมฯ รับอุทกภัยในพื้นที่วิกฤติ ยอมรับการช่วยเหลือชาวบ้านยังไม่ทั่วถึง มีจุดบกพร่อง เพราะระเบียบราชการทำให้ล่าช้า ด้าน สธ.เผยมีประชาชนเดือดร้อน 2 แสนกว่าครอบครัว ยัน 21.22 น. ตำรวจเมืองตราดร่วมกับฝ่ายปกครอง จับกุม 2 ผู้ต้องหาลักลอบค้ายาบ้าได้พร้อมของกลางจำนวน 22 เม็ด และขยายผลจับกุมผู้เสพเพิ่มอีก 3 รายในวันเดียวกัน 21.36 น. คุณหญิงสุดารัตน์ รับเห็นใจยิ่งลักษณ์ ที่บังเอิญเป็นนายกฯคนแรกที่เจอน้ำท่วมขนาดใหญ่ เผย เข้าใจกทม.ที่ต้องบริหารน้ำไม่ให้ท่วม แต่มั่นใจว่าแผนศปภ.จัดการดีไม่ต้องกังวล 21.39 น. ชาวบ้านไทรน้อย-บางบัวทอง ทยอยอพยพออกจากหมู่บ้าน หลังน้ำท่วมสูง 1.50 เมตร เหตุอาหาร-น้ำเริ่มหมด หลายหน่วยงานเร่งให้การช่วยเหลือ ด้านผู้ว่าฯ นนทบุรีเผยใช้งบฉุกเฉินใกล้หมด 21.51 น. บินไทยตั้งรับน้ำท่วมสุวรรณภูมิ ขนอุปกรณ์ไปอู่ตะเภารองรับเหตุฉุกเฉิน พร้อมตั้งศูนย์เฝ้าระวัง เช่นเดียวกับแอร์เอเชียไม่ประมาท ชี้หากท่วมถึง 2 เมตร อพยพเครื่องโบอิ้งไปจอดสนามบินสิงคโป 22.01 น. โรงแรมในเครือเอราวัณโกยรายได้ตามเป้า 4 พันล้าน เผยผู้ประสบภัย-นักลงทุนน้ำท่วมตบเท้าเช่าห้องพักครั้งละ 20-30 ห้อง แสดงสปิริตปรับลดราคาช่วยเหลือ ลั่นเดินหน้าลงทุนต่อมูลค่ารวม 22.05 น. กรมควบคุมมลพิษสำรวจพื้นที่น้ำท่วมภาคกลาง พบน้ำเน่าเสียบริเวณกว้าง ชี้อาจกระทบต่อสัตว์น้ำ พร้อมสนับสนุนก้อนจุลินทรีย์ผ่านสายด่วน 1650 22.30 น. กองทัพอากาศยกกำลังช่วยชาวบ้านที่บางบัวทอง  ด้านสองตายายประทับใจ เจ เจตริน ขับเจ็ตสกี และ ดุ๋ง พาที พาทีมนกแอร์ลากเรือฝ่ากระแสน้ำ ช่วยอพยพยายและหลาน 6 คนออกจากบ้าน 22.48 น. เลขาธิการ ปชป. ชี้ ประชาชน และสื่อฯจับตา การพิจารณาโผแต่งตั้ง ข้าราชการรองผบ.ตร. ลงไป ว่าจะแก้ไข ไม่แก้แค้นหรือไม่ เชื่อส่วนตัวผบ.ตร. เป็นคนดีจึงอยากให้เป็นตัวอย่างให้คนอื่นปฏิบัติ 23.23 น. น้ำทะลักท่วมตลาดน้ำทุ่งอ่างทอง สลด! อดีตนักดนตรีดังไร้ที่อยู่ ขณะที่แม่น้ำท่าจีนล้นน้ำเต็มทุ่งสุพรรณฯ 23.25 น. ผู้ช่วยผู้อำนวยการศปภ. ระบุ ม.31 พรบ.ป้องกันบรรเทาฯ ไม่สามารถเอาผิดย้อนหลังได้ เผยบ้านตัวเองขนของหนีน้ำแล้วเช่นกัน มั่นใจ น้ำประปา-ไฟฟ้าคนกทม.ไม่ดับแน่นอน 23.28 น. ปคอป.ประชุมนัดแรกวางกรอบเร่งเยียวยา หาวิธีที่ทุกฝ่ายรับได้ เพื่อให้ความเป็นธรรมทุกภาคส่วน–พิจารณาการดำเนินการคดีหมิ่นพระบรมเดชานุ ภาพฯ ย้ำไม่มีข้อเสนอแก้ ม.112 23.30 น. ศูนย์พักพิงชั่วคราวของก.พัฒนาสังคมและความมั่งคงของมนุษย์เต็มแล้ว ศูนย์ราชการฯแจ้งวัฒนะประชาชนแห่หลบภัยแน่น ระบุ ร.ร.สารวิทยาเหลือเพียบ คาดไม่เกินวันที่ 22 ต.ค.คนจองหมด 23.42 น. ผู้ว่า กปภ. ระบุ มีการประปาส่วนภูมิภาค ได้รับความเสียหายน้ำท่วม เร่งฟื้นฟูด่วน วอนประชาชนอย่าตกใจ ยังไม่มีสารปนเปื้อนแน่นอน วันที่ 22 ต.ค. 2554 00.42 น. นักวิชาการทีดีอาร์ไอ ประสานเสียงแนะรัฐบาลเลิกนโยบายประชานิยมไม่เร่งด่วน เลิกขึ้นค่าแรง 300 บาท ปรับโครงการรับจำนำข้าว โยกเงินมาช่วยเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังน้ำท่วมแทน 01.00 น. ศาล พิพากษาจำคุก 17 ปี 2 เดือน อดีตเสี่ยปั๊มน้ำมัน ตกอับ ควง.38 จี้ถุงเงินแบงก์กสิกร 2.7 ล้าน ขณะพนักงานเตรียมใส่ตู้เอทีเอ็มห้างเมจอร์ฯ แต่ปราณี ลดโทษเหลือ 12 ปี 2 เดือน 01.28 น. ทบ.เสริมกำลัง 9 กองร้อยบรรเทาสาธารณภัยเตรียมพร้อม 24 ชม.ในพื้นที่ฉุกเฉิน ด้าน บิ๊กอ๊อด งดบินถก รมว.กลาโหมอาเซียน ขออยู่ไทยช่วยแก้วิกฤติน้ำท่วม 01.53 น. นิทรรศการ บีโอไอแฟร์ 2011 เลื่อนไปจัด 5 - 20 มกราคม 2555 บีโอไอเผย บริษัทชั้นนำยืนยัน พร้อมโชว์เทคโนโลยีโลกอนาคต 02.00 น. ส.อ.ท.หวั่นอุตสาหกรรมไทยจมน้ำนานกว่า 4 เดือนทำจีดีพีติดลบ ขณะที่ดัชนีอุตสาหกรรม เดือน ก.ย. ต่ำสุดรอบ 26 เดือน คาด ความเสียหายภาคอุตสาหกรรมเดือนละแสนล้านบาท 02.45 น. นายกเทศมนตรีหนองผือ ร้อยเอ็ดก่อเหตุเศร้าสลด! ยิงเมียซึ่งเป็นลูกสาวของ "เวียง วรเชษฐ์" ส.ส.เพื่อไทย ที่นอนป่วยอยู่ใน รพ.ก่อนยิงตัวตายตาม หมอผ่าตัดช่วยชีวิตแต่ยื้อไว้ไม่ได้ดับคู่ เผยก่อนเกิดเหตุมีปากเสียงกัน ก่อนสามีจะบันดาลโทสะชักปืนยิง 03.00 น. กฟผ. ย้ำแม้ สถานีไฟฟ้าแรงสูงรังสิต ถูกน้ำท่วม ก็จะไม่มีปัญหาไฟตกไฟดับรอบกรุงเทพปริมณฑล 03.43 น. "พระพรหมโมลี" สั่งวัดในหนกลางที่ไม่ได้ประสบภัยน้ำท่วมและมีความพร้อม ตั้งวัดเป็นศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และเป็นศูนย์สนับสนุนการช่วยเหลือในการรับบริจาค 03.51 น. บขส.อำนวยความสะดวกผู้ประสบอุทกภัย สามารถโทรยกเลิกการเดินทาง เพื่อขอรับเงินคืนค่าตั๋วได้ 03.55 น. รพ.ศิริราช เตรียมพร้อม 3 แผนรับมือน้ำท่วม 04.00 น. ผู้ว่า ธปท.ประสานธนาคารพาณิชย์ ซักซ้อมแผนฉุกเฉินเตรียมรับมือน้ำท่วมกทม.แต่ยันระบบการเงินยังทำงานได้ เบิกจ่ายโอนเงินตามปกติ เตรียมธนบัตรสำรองเบิกจ่ายไว้มากกว่า 3 เดือน 04.39 น. "เจ๊เกียว" ใจป้ำทุ่ม 5 แสน สั่งทำเรือท้องแบนเหล็ก 50 ลำส่งช่วยเหลือน้ำท่วมภาคกลาง คาดเสร็จวันที่ 23 ต.ค. พร้อมส่งมอบ-กระจายไปช่วยเหลือ 05.00 น. รถขนเงินธนาคารกรุงไทย 20 ล้าน แหกโค้งพลิกคว่ำตกร่องน้ำข้างถนนเจ็บ 2 ราย เจ้าหน้าที่รักษาเงิน ระบุคนขับใหม่ไม่ชินทาง ส่วนเงินปลอดภัยนำส่งเก็บที่ธนาคารกรุงไทยสาขาน่าน 05.30 น. ไทยรัฐออนไลน์ไม่ยอมให้น้ำท่วมเป็นอุปสรรคในการนำเสนอข่าวสารแก่ผู้อ่าน เลือกใช้ศูนย์ไอดีซี ทีโอที เป็นศูนย์เซิร์ฟเวอร์แบ็กอัพ เพื่อการให้บริการที่ไม่ขาดตอน รับประกันแม้ กทม.ไฟดับก็เปิดอ่านได้ ต่างประเทศ 21:43น.โตโยต้าปรับแผนผลิตในเอเชีย แจงปิดโรงงานในไทยต่อ 1 สัปดาห์จากพิษน้ำท่วม 23:00น.เหตุหนูน้อยวัย 2 ขวบ ถูกรถทับเสียชีวิตและไร้คนสนใจในเมืองฝอซาน ที่ได้รับความสนใจในอินเตอร์เน็ต มีชาวจีนจากทั่วโลกร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือครอบครัว กว่า 1.2 ล้าน ขณะที่แพทย์ระบุเด็กเสียชีวิตจากภาวะสมองตาย 00:15น.นักอนุรักษ์เตือนกำแพงเมืองจีนกว่า 70% กำลังพังทลาย จากการทำเหมืองทั้งถูกและผิดกฎหมายในประเทศ 03:30น.ลินด์เซย์ โลฮาน ถูกสื่อบันเทิงฉะ ไม่สำนึกผิดคดีละเมิดทัณฑ์บน หลังเดินทางมารายงานตัวบำเพ็ญประโยชน์ ช้ากว่าเวลาถึง 41 นาที แม้เป็นวันแรก 04:30น.ภัยฝนตกหนักและน้ำท่วมฉับพลัน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตในพม่า 60 ศพ และที่อเมริกากลางอีกอย่างน้อย 105 ราย 05:00น.เจ้าของสวนหลายรายในสหรัฐฯเผย แรงงานชาวอเมริกันไม่มีประสิทธิภาพเท่าแรงงานต่างด้าว เพราะมักจะมาทำงานสายและไม่ ค่อยรับฟังคำตักเตือน ขณะที่แรงงานต่างด้าวขยันขันแข็ง และอดทนทั้งที่ได้ค่าแรงต่ำ 05:15น.นายกรัฐมนตรีสเปน ประกาศชัยชนะเหนือกองกำลังแบ่งแยกดินแดนในแคว้นบาสก์ หลังการต่อสู้ยาวนานกว่า 40 ปี มีผู้เสียชีวิต 829 ศพ 05:30น.เรือโดยสารฮ่องกงพุ่งชนตอม่อ ทำให้มีผู้บาดเจ็บระนาวกว่า 70 คน 06:00น.หน้าแตกเป็นเสี่ยงๆ "แฮโรลด์ แคมพ์ปิง" เจ้าของคำทำนาย "โลกแตก" 21 พ.ค. และ 31 ต.ค. หลบหน้าสื่อ หลังพระเจ้าไม่พิพากษาโลกและมวลมนุษยชาติให้สูญสิ้นตามคำกล่าวอ้าง กีฬา 22.04 น.ศึกบอลอาเซี่ยนแข้งสาวไทยฟอร์มสดไล่บี้พม่าได้ กาญจนา สังข์เงิน ยิงไล่ตีเสมอ ยังไม่หนำท้ายเกม นิสา ร่มเย็น,ปาจารีย์ เถาโต ยิงซ้ำปิดฉากชนะขาด 3-1 เก็บ 9 แต้มขึ้นเป็นผู้นำไปตัดลาว 23.37 น.แหล่งข่าววงในทีม"เรือใบสีฟ้า"แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เผยทางสโมสรอาจจะใจอ่อนไม่ยอมลงโทษ คาร์ลอส เตเบซ ดาวยิงหัวกบฏตามข้อกล่าวหาของกุนซือ โรแบร์โต มันซินี 01.29 น.ลือ เวย์น รูนีย์ และ แจ็ค วิลเชียร์​ แข้งสตาร์พรีเมียร์ลีกอาจติดทีม"สหราชอาณาจักร"ลุยศึกโอลิมปิก 2012 เพราะไม่ได้ไปเล่นศึกยูโร "อาเดรียน เบวิงตัน"ออกมาเบรก ลั่นยังไม่ได้พูดว่าใครจะได้ไป 04.16น."สมันน้อย"เอาก์สบวร์ก ทำแฟนเฮเก้อ อุตสาห์ได้ อักเซิล เบลลิงเฮาเซน ยิงขึ้นนำ มาพลาดท่าโดน เคลาดิโอ ปิซาร์โร โหม่งอัด จบเกมทำได้เพียงแบ่งแต้มเสมอ"เจ้านกนางนวล"แวนเดอร์ เบรเมน                                   พัชราภรณ์   มณีโชติ                           ผู้หาข้อมลูลงบล๊อก

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

(เพิ่มเติม)น้ำกระด้างแก้ได้อย่างไร และมีกี่ประเภท

น้ำกระด้างแบ่งออกเป็น 2 ประเภท โดยอาศัยสารที่เจือปนเป็นเกณฑ์ในการจัดแบ่งได้แก่
1. น้ำกระด้างชั่วคราว หมายถึง น้ำกระด้างที่มีสารต่อไนี้เจือปนอยู่ คือ แคลเซียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต แมกนีเซียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต เมื่อสารทั้ง 2 ชนิดนี้ได้รับความร้อนแล้วจะตกตะกอนและได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ระเหยไป
2. น้ำกระด้างถาวร หมายถึง น้ำกระด้างที่มีสารต่อไปนี้เจือปนอยู่คือ แคลเซียมคลอไรด์ แคลเซียมซัลเฟต แมกนีเซียมคลอไรด์ และแมกนีเซียมซัลเฟต 1
ในชีวิตประจำวันคนจำนวนมากต้มน้ำเพื่อใช้ดื่ม การต้มน้ำนอกจากจะสามารถฆ่าเชื้อโรคได้แล้วยังทำให้น้ำหายกระด้างได้อีกด้วย แต่การต้มน้ำกระด้างจะมีสารบางอย่างแยกตัวออกมาจากน้ำซึ่งมักจะสังเกตได้จากภาชนะที่ต้ม โดยทั่วไปจะพบว่ามีคราบของแข็งเกิดขึ้นภายในกาต้มน้ำ ของแข็งดังกล่าวเรียกว่า ตะกรัน ซึ่งเป็นหินปูนที่แยกออกมาจากน้ำที่ต้มนั่นเอง ตามโรงงานต่าง ๆ ที่ใช้หม้อต้มน้ำต้องล้างหม้อน้ำกันบ่อย ๆ เพื่อเอาตะกรันออก มิฉะนั้นอาจทำให้หม้อต้มน้ำระเบิดได้ และยังสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในการหุงต้มอีกด้วย ถ้าภาชนะต้มที่มีตะกรันหนา 1 มิลลิเมตรจะต้องเพิ่มค่าเชื้อเพลิงในการหุงต้มอีก 10 %
ความแตกต่างของน้ำกระด้างชั่วคราวและน้ำกระด้างถาวรเป็นดังนี้
น้ำกระด้างชั่วคราว
1. ต้มแล้วหายกระด้าง
2. ทำให้เกิดหินงอกหินย้อย
3. มีเกลือคาร์บอเนตหรือเกลือไบคาร์บอเนต ละลายอยู่
4. พบในแม่น้ำและลำคลอง
น้ำกระด้างถาวร
1. ต้มแล้วไม่หายกระด้าง
2. ไม่ทำให้เกิดหินงอกหินย้อย
3. มีเกลือคลอไรด์หรือเกลือซัลเฟตละลายอยู่
4. พบในทะเลและมหาสมุทร

วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554

พฤติกรรมเลียนแบบส่งผลต่อคุณธรรมจริยธรรมในสังคม

                  ปัจจุบัน บ้าน วัด หรือโรงเรียนกลับกลายเป็นกลไกทางสังคมที่มีอิทธิพลน้อยลงต่อการหล่อหลอมคุณธรรมและจริยธรรม คนไทยปัจจุบันใช้เวลาในการเดินห้างหรือเข้าสถานบันเทิงมากกว่าเดินเข้าวัดหรือศึกษาธรรมทางศาสนา  ครอบครัวไทยเน้นการทำมาหากินมากกว่าการมองคุณค่าของชีวิตในเชิงคุณธรรมหรือจริยธรรม  ระบบการศึกษาไทยเน้นการเรียนรู้วิชาการเพื่อนำความรู้ไปประกอบอาชีพมากกว่าความเข้าใจในคุณค่าหรือความหมายของชีวิต และคนไทยก็เรียนหนังสือเพราะต้องการใบเบิกทางไปสู่การทำมาหากินที่ดีกว่า ด้วยเหตุนี้ประเทศไทยจึงมีปัญหาเรื่องคุณธรรมมานานไม่มีใครสนใจอย่างจริงจัง และยังคงยึดติดกับความเชื่อที่ว่าคุณธรรมและจริยธรรมเกิดขึ้นได้เฉพาะจากการสอนสั่ง การพิมพ์หนังสือให้อ่านและการรณรงค์คำขวัญเพราะๆ และที่สำคัญเรายังคิดว่าคุณธรรมและจริยธรรมเกิดขึ้นได้เฉพาะใน บ้าน วัดและโรงเรียนเท่านั้น
          นายแพทย์อุดม     เพชรสังหาร ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาอัจฉริยภาพเด็กและเยาวชน สถาบันรักลูก ชี้ให้เห็นว่าคุณธรรมและจริยธรรมเกิดจากอิทธิพลการหล่อหลอมและเรียนรู้จากสังคม Socialization   นั้นก็คือสังคมทั้งหมดคือปัจจัยที่สำคัญที่หล่อหลอมคุณธรรมและจริยธรรมให้เกิดกับสมาชิกของสังคม โดยไม่ได้จำกัดอยู่แค่ บ้าน วัดหรือโรงเรียน
          “ผมมีข้อมูลจากการศึกษาเด็กจำนวนมากเป็นระยะเวลาเกือบ 20 ปี พบว่า เกมคอมพิวเตอร์และภาพยนตร์ที่เน้นความรุนแรงส่งผลให้เด็กอเมริกามีนิสัยก้าวร้าวขึ้น มีพฤติกรรมฝ่าฝืนกฎระเบียบมากขึ้นรวมทั้งมีความรู้สึกว่าการแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงคือความถูกต้อง  สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าอิทธิพลของสื่อหรือสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆตัวเด็กมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมในเด็กและเยาวชน ซึ่งภาพเช่นนี้ก็กำลังเกิดขึ้นกับสังคมไทยเช่นกัน สื่อแทบทุกชนิดมีอิทธิพลเหนือกลไกทางสังคมดั้งเดิมที่มีอยู่   เรามีเกมคอมพิวเตอร์ทุกรูปแบบให้เด็กเราเล่น เรามีเว็บลามกที่เด็กทุกคนเข้าถึงได้ไม่ยากเย็น  เรามีรายการโทรทัศน์ที่มีฉากเต็มไปด้วยความรุนแรงทั้งแบบเปิดเผยและซ้อนเร้น    เรามีมิวสิควีดีโอที่นำเสนอรูปร่างและความเซ็กซี่ของศิลปินมากกว่าสุนทรียภาพของบทเพลง  เรามีสื่อสิ่งพิมพ์ที่นำเสนอเรื่องดาราหรือคนมีชื่อเสียงที่เน้นการใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีในด้านต่างๆรวมทั้งเรื่องเพศที่เด็กและเยาวชนจำนวนมากติดตามกันงอมแงม     สิ่งเหล่านี้กลายเป็นกลไกที่มีอิทธิพลต่อเด็กและเยาวชนของเรามากกว่า บ้าน วัดและโรงเรียน   ดั้งนั้นการแก้ปัญหาเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมโดยไม่คำนึงถึงและจัดการกับปัจจัยเหล่านี้อย่างจริงจัง จึงมีโอกาสล้มเหลวมากกว่าความสำเร็จ”
          นพ.อุดม กล่าวเพิ่มเติมว่า “ไม่นานมานี้ มีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยพาร์มา ประเทศอิตาลี Dr.Villorio Gallese และ Dr.Giacomo Rizzlattiได้ค้นพบกลุ่มเซลล์กลุ่มหนึ่งในสมองของลิงโดยบังเอิญ เขาตั้งชื่อมันว่า “เซลล์กระจกเงา” (Mirror Neuron) พบโดยการทดลองให้ลิงสังเกตท่าทางของมนุษย์ เพื่อดูว่าเมื่อลิงทำเลียนแบบท่าทางของมนุษย์ เซลล์ในสมองของลิงส่วนไหนบ้างที่จะทำงาน แต่เรากลับพบว่า แม้ลิงจะไม่ได้เคลื่อนไหวหรือเลียนแบบท่าทางของมนุษย์เลย เพียงแต่แค่มันนั่งมองเฉยๆ เซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของอวัยวะ ซึ่งสอดคล้องกับท่าทางของมนุษย์ก็ยังคงทำงานอยู่ ราวกับว่าลิงตัวนั้นได้เคลื่อนไหวเพื่อเลียนแบบกิริยาของมนุษย์ เขาเลยตั้งชื่อมันว่า “เซลล์กระจกเงา” หรือ Mirror Neuron เพราะมันสะท้อนภาพการเคลื่อนไหวทุกอย่างของมนุษย์เข้าไป ราวกับว่ามันได้ทำตัวเป็นกระจกเงาเพื่อสะท้อนภาพที่มองเห็น
          การค้นพบครั้งนี้นำไปสู่ความสงสัยว่า ในมนุษย์จะมีปฏิกิริยาแบบนี้หรือไม่ จึงมีการค้นคว้าวิจัยเพิ่มเติมกัน มากมายทั้งในยุโรปและอเมริกา แล้วก็พบว่าเซลล์แบบนี้มีในสมองของมนุษย์ เซลล์เหล่านี้นี่แหละ คือต้นเหตุที่ทำให้มนุษย์ที่เกิดมาแล้วมีบุคลิก หรือนิสัยใจคอเหมือนกับคนอื่นๆ ในสังคม แล้วซึมซับเข้าไปเพื่อหล่อหลอมให้คนเป็นแบบนั้นแบบนี้ ตามแต่ผู้คนและสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเราจะกำหนด เซลล์เหล่านี้ คือสิ่งที่ช่วยอธิบายทฤษฎีพัฒนาการทางบุคลิกของมนุษย์ที่เราใช้อยู่เกือบทุกทฤษฎี ให้มีความแจ่มชัดมากยิ่งขึ้นไปอีก หรือหากจะกล่าวสั้นๆ ก็คือ “สิ่งแวดล้อมเป็นอย่างไรเซลล์กระจกเงาก็จะทำหน้าที่หล่อหลอมมนุษย์ให้เป็นไปตามที่สิ่งแวดล้อมกำหนด” นั่นเอง
          ในขณะที่สิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก เต็มไปด้วยความเลวร้ายที่กระตุ้นให้เซลล์กระจกเงาของพวกเขาซึมซับเข้าไปอยู่ตลอดเวลาโดยเราลืมไปว่า สมองของเด็กในส่วนตัดสินผิดชอบชั่วดี การใช้เหตุผล ยังไม่เติบโตพอที่จะทำงานได้อย่างเต็มที่ สมองของเด็กจะทำงานด้วยอารมณ์และความรู้สึกเป็นหลัก อะไรสนุกๆ อะไรที่ประทับใจ เซลล์กระจกเงาก็จะซึมซับสิ่งเหล่านั้นเข้าไป การสอนด้วยเหตุผลอย่างเดียวจึงไม่ได้ผล ต้องสอนด้วยสิ่งที่สามารถเข้าถึงอารมณ์และความรู้สึกได้
          การค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ในครั้งนี้ทำให้เรารับรู้ว่า   “แบบอย่าง”   ต่างหากคือปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการหล่อหลอม คุณธรรม จริยธรรม หรือพฤติกรรมทางสังคมที่เหมาะสมกับเด็ก เยาวชนหรือผู้คนในสังคม ถ้าไม่มีแบบให้เห็นเซลล์กระจกก็ไม่มีแบบให้ลอกเลียน หรือหากมีแบบไม่ดีเซลล์กระจกเงาก็จะลอกเลียนแบบที่ไม่ดี  ดังนั้นการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมหัวใจที่สำคัญจึงอยู่ที่การมีแบบอย่างที่ดีมากพอ
          เมื่อกลับมามองที่สังคมไทยปัญหาคุณธรรมของสังคมไทยจึงเป็นเรื่องใหญ่มากเพราะสิ่งแวดล้อมทางสังคมไทยเป็นแบบอย่างไปในทางที่ไม่ดี การแก้ไขโดยเพียงแค่อาศัยกลไก บ้าน วัด  โรงเรียน ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้   จำเป็นต้องอาศัยกลไกทั้งหมดที่มีอยู่ของสังคมเข้ามาช่วยกันมองและช่วยกันแก้ไข ส่งเสริมแบบอย่างที่ดี ขจัดแบบอย่างในทางเสื่อมให้หมดไปนั้นแหละเราจึงจะสามารถแก้ปัญหาได้

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เครดิตคาร์บอนคืออะไรและเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันอย่างไร

คาร์บอนเครดิต(Carbon Credit) คืออะไร ซักจะน่าสนใจแล้ว ใช่ไหมค่ะ
สืบเนื่องจากพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocal) กำหนดให้ประเทศพัฒนาแล้วต้องลดประมาณการปล่อยก๊าซที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจก หรือกรีนเฮ้าส์เอฟเฟคท์ ซึ่งทำให้เกิดภาวะโลกร้อน เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ไนตรัสออกไซด์ ฯลฯ
พิธีสารเกียวโตมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่16 กุมภาพันธ์ 2549 หากประเทศที่ลงนาม เช่น สหภาพยุโรป แคนาดา ญี่ปุ่น ไม่สามารถลดก๊าซเรือนกระจกประมาณ 5.2% ในปี 2551-2555 จะมีค่าปรับถึงตันละ 2,000-5,000 บาท
สถิติจากWorld Resources 2005 ระบุว่า
สหรัฐปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุดปีละ 5.7 พันล้านตัน
 อันดับ 2 คือจีน 3.4 พันล้านตัน
 อันดับ 3 คือ รัสเซีย 1.5 พันล้านตัน
ญี่ปุ่น 1.2 พันล้านตัน อังกฤษ 558 ล้านตัน
ส่วนไทย 172 ล้านตัน

ดังนั้น"การซื้อขายคาร์บอนเครดิต" จึงเป็นหนึ่งในแนวทางที่กำหนดออกมาพิเศษ เพื่อช่วยให้ประเทศตัวการปล่อยก๊าซพิษไม่ต้องถูกลงโทษ
"คาร์บอนเครดิต" หมายถึง สิ่งทดแทนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ส่วนใหญ่เกิดจากการเผาผลาญน้ำมันดิบในโรงงานอุตสาหกรรมหรือยานยนต์ หากประเทศพัฒนาแล้วไม่สามารถลดมลพิษของตนได้อีกต่อไป ก็ต้องใช้วิธีช่วยเหลือประเทศด้อยพัฒนาให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเมื่อลดได้จะกลายเป็นคาร์บอนเครดิตของตนเอง ทำให้ไม่ต้องจ่ายค่าปรับ  เช่น
การปลูกป่าไม้ 2.5 ไร่ จะสามารถเก็บคาร์บอนเครดิตได้ 2 ตัน
การใช้พลังงานแสงอาทิตย์แทนน้ำมัน 1 หน่วยจะได้เครดิตประมาณ 0.6 กิโลกรัม

ตัวอย่างเช่นประเทศ A อยู่ในยุโรป ถูกกำหนดให้ลดก๊าซเรือนกระจก 50 ล้านตัน แต่โรงงานอุตสาหกรรมหรือโครงการที่มีในประเทศ A พยายามลดสุดๆแล้ว ลดได้เพียง 30 ล้านตัน จึงต้องไปซื้อคาร์บอนเครดิตจากประเทศกำลังพัฒนามาอีก 20 ล้านตัน ไม่เช่นนั้นจะโดนปรับ ตันละ 3,000 บาทก็ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท
ประเทศ  ก จึงติดต่อไปที่ ฟาร์มเลี้ยงหมูขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในประเทศ ข เพื่อช่วยสร้างโรงไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ เมื่อสร้างเสร็จทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าฟาร์มหมูลดลงเดือนละ 2 ล้านบาท ถือเป็นการลดจำนวนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม สมมติว่าลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ปีละ 1 ล้านตัน จำนวนที่ลดได้ จะถูกเรียกว่า "คาร์บอนเครดิต" ซึ่งประเทศ A จะได้คาร์บอนเครดิต 1 ล้านตันไปรวมกับ 30 ล้านตันที่มีอยู่ หรือในอนาคตฟาร์มหมูที่อยู่ใกล้เคียงอาจใช้เทคโนโลยีเดียวกัน มาลงทุนสร้างโรงงานไฟฟ้าก๊าซชีวภาพเอง แล้วขายคาร์บอนเครดิตให้ประเทศ A ก็ได้
ทั้งนี้หน่วยงานหรือบริษัทที่จะซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตได้ ต้องผ่านมาตรฐานตาม "โครงการซีดีเอ็ม" หรือโครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด(Clean Development Mechanism หรือ CDM Project-Carbon Credit)
"คาร์บอนเครดิต" กำลังกลายเป็นธุรกิจซื้อขายมลพิษ ที่มีแนวโน้มทำเงินมหาศาลในอนาคต
สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันรัฐบาลได้ออกพระราชกฤษฎีกา "จัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2550" มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน   2551 ที่ผ่านมา หรือที่เรียกย่อว่า อบก.หรือ "TGO" (Thailand Greenhouse Gas Management Organization)
การเริ่มพัฒนาโครงการและตลาดซื้อขายปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการรับรอง รวมถึงเป็นศูนย์กลางข้อมูลดำเนินงานและให้ทุนสนับสนุนการดำเนินงานด้านก๊าซเรือนกระจก
แม้การซื้อขายคาร์บอนเครดิตจะมีข้อดีคือทำให้ประเทศพัฒนาไม่ต้องเจอค่าปรับจากพิธีสารเกียวโต ขณะที่ประเทศด้อยพัฒนาก็ได้รับการสนับสนุนให้ใช้เทคโนโลยีสะอาด เพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อน
แต่มีนักวิชาการกลุ่มหนึ่งออกมาเตือนว่าหากประเทศกำลังพัฒนา เช่น ไทย ลาว เวียดนาม นำคาร์บอนเครดิตมาขายจนหมดสิ้น จะกลายเป็นภาระผูกพันถึงอนาคต หากมีข้อตกลงใหม่ที่กำหนดให้ประเทศด้อยพัฒนาต้องช่วยลดก๊าซเรือนกระจกด้วย ประเทศเหล่านี้ก็จะไม่มีคาร์บอนเครดิตเหลือ เพราะขายล่วงหน้าไปหมดแล้ว
ศ.ดร.สุรพงศ์  จิระรัตนานนท์ บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานกล่าวแนะนำว่า ไทยควรมีการเก็บคาร์บอนเครดิตไว้บ้าง เพราะอีก 10 ปีข้างหน้า อาจต้องถูกบังคับให้ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกเช่นกัน เมื่อถึงเวลานั้นอาจไม่มีคาร์บอนเครดิตเหลือ เพราะขายล่วงหน้าให้ประเทศอื่นหมดแล้ว ราคาที่ขายได้ก็ต่ำกว่าจำนวนที่กำหนดให้จ่ายค่าปรับหลายเท่า ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องประเมินสถานการณ์ในอนาคตเผื่อไว้ด้วย นอกจากนี้ควรมีการลดการใช้พลังงานด้านอื่นพร้อมกัน เนื่องจากภาคธุรกิจไทยมีการใช้พลังงานไฟฟ้าสิ้นเปลืองอย่างมาก
ศ.ดร.สุรพงศ์ยกตัวอย่างตึกขนาดใหญ่แห่งหนึ่งย่านถนนรัชดาภิเษกว่า มีการใช้พลังงานไฟฟ้าเทียบเท่ากับเมืองเวียงจันทน์ เมืองหลวงของลาว เพราะต้องเปิดไฟและแอร์ตลอดทั้งวัน หน่วยงานรัฐควรใช้นโยบายเหมือนเกาหลีใต้ ที่ออกกฎข้อบังคับให้สถานที่ราชการเปิดเครื่องปรับอากาศไว้ที่อุณหภูมิ 26 องศา ส่วนที่มาเลเซียก็พยายามสร้างอาคารแบบใหม่ที่ประหยัดพลังงานจากเดิม 3-5 เท่า โดยการประหยัดพลังงานไฟฟ้าส่วนนี้อาจนำมาเป็นคาร์บอนเครดิตขายในอนาคตได้
อยากขาย"คาร์บอนเครดิต" ต้องทำอย่างไร
ต้องเป็นโครงการเกี่ยวข้องกับนโยบายช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เช่น ผลิตพลังงานทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิง แปลงขยะเป็นพลังงาน พัฒนาประสิทธิภาพการคมนาคม ลดมลพิษสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ที่เรียกกันว่า โครงการซีดีเอ็ม หรือ โครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด(Clean Development Mechanism : CDM)
เจ้าของโครงการประเภทกลไกการพัฒนาที่สะอาดหรือโครงการซีดีเอ็มนั้นก่อนจะตกลงซื้อขายคาร์บอนเครดิตต้องมีการขอใบรับรอง CERs (Certified Emission Reductions) จากสหประชาชาติก่อนทั้งนี้เจ้าของกรรมสิทธิ์ CERs อาจมีทั้งโรงงานไฟฟ้าเอกชน ฟาร์มหมู โครงการปลูกป่า ซึ่งเป็นตัวเจ้าของโครงการไม่ใช่รัฐบาล นอกจากรัฐบาลจะเป็นเจ้าของโครงการเอง
ขั้นตอนสำคัญในการขอใบรับรองCERs คือ
1.ยื่นโครงการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกไปที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
2.เสนอโครงการให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา
3.ส่งเอกสารให้สหประชาชาติรับรองเพื่อออก CERs
ขณะนี้"บริษัทบริการสิ่งแวดล้อม" (Environmetal Service) กำลังเป็นธุรกิจใหม่ที่ต่างชาติทยอยเปิดในเมืองไทย เพื่อช่วยบริษัทหรือเจ้าของโรงงานที่ต้องการเป็นโครงการซีดีเอ็ม เช่น แนะนำขั้นตอนทำเอกสารขอ "CERs" หรือช่วยเป็นที่ปรึกษาการซื้อขายคาร์บอนเครดิตเช่น ให้คำปรึกษาการออกแบบโครงการ ธุรกิจตรวจประเมินและรับรองโครงการ ธุรกิจตัวกลางซื้อขายกับต่างประเทศ ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศไทย จัดว่าเป็นเพียงการเริ่มต้น เมื่อเทียบกับ อินเดีย จีน เวียดนาม เกาหลีใต้ บราซิล และอาร์เจนตินา

จิโรจ ณ นคร ผู้จัดการธุรกิจ  บริษัทเอสจีเอส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งขยายไลน์จากตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพไอเอสโอ 9000 และ 14000 อีกหลายธุรกิจบริการในไทย มาสู่การ ตรวจประเมินและรับรองโครงการ (Designated Operational Entity-DOE) เครดิต คาร์บอน บอกว่า บริษัทเพิ่งเริ่มเข้าสู่ธุรกิจดังกล่าวในไทยเป็นปีแรก หลังจากประสบความสำเร็จในการดำเนินการในอินเดีย ซึ่งเอสจีเอสเป็นผู้ตรวจและยืนยันโครงการให้กับโรงงานอุตสาหกรรมกว่า 100 บริษัท
และในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้มติอนุมัติการขึ้นทะเบียน 3 โครงการแรกของไทย เพื่อให้สามารถขายคาร์บอนเครดิตตามข้อตกลงได้ คือ
1.โรงไฟฟ้าด่านช้างไบโอเอนเนอร์ยี่
2.โครงการโรงไฟฟ้าพลังแกลบ ของบริษัท เอ.ที.ไบโอเพาเวอร์ จำกัด
3.โครงการไบโอแมสของโรงไฟฟ้าขอนแก่น
สำหรับโรงไฟฟ้าขอนแก่นที่นำชานอ้อยมาเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้านั้น มีการประเมินว่าจะสามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 5.7 หมื่นตันต่อปี หากนำคาร์บอนเครดิตมาซื้อขายจะได้ประมาณ 21 ล้านบาท

โครงการ ตั้งโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงชีวมวล 3 mw. ร่วมกับ ต้นตะกู พันธุ์ก้านแดง 4,000 ไร่ ลดภาวะโลกร้อน
ขายคาร์บอนเครดิต 10 ยูโร/ตัน
"โรงงานเก่าสามารถทำได้ แต่ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่ามีเทคโนโลยีใหม่ๆ มาลดมลพิษ ซึ่งอาจจะต้องลงทุนมากกว่า แต่ถ้าเป็นโรงงานใหม่ ก็สามารถคุยกับที่ปรึกษาได้เลยว่า เข้าข่ายที่จะทำได้หรือไม่ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการไฟแนนซ์โครงการ จากรีเทิร์นที่จะกลับมาจากการขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งอาจจะคุ้มค่ากับเงินที่ลงทุนเรื่องเทคโนโลยีที่จะมาลดปฏิกิริยาเรือนกระจก"

ล่าสุดมีอีก 45 บริษัทที่เสนอขอเข้าโครงการซีดีเอ็ม เพราะราคาซื้อขายคาร์บอนเครดิตได้ถีบตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงระดับ 7 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันแล้ว โครงการส่วนใหญ่ร้อยละ 50 จะเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีก๊าซชีวภาพ (ไบโอแก๊ส) เช่น การผลิตก๊าซจากน้ำเสีย อันดับ 2 คือด้านเทคโนโลยีชีวมวล (ไบโอแมส) ร้อยละ 25 ส่วนที่เหลือเป็นโครงการประหยัดพลังงานไฟฟ้า โครงการแปลงขยะชุมชนเป็นพลังงาน ด้านคมนาคมขนส่ง ฯลฯ
ด้าน มร.ซานดี้ มัคคินนอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท McKinnon & Clarke บริษัทที่ได้รับอนุญาตในการซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Emission Trader) สัญชาติยุโรป บอกว่า เขาได้จะเป็นบริษัทต้นๆ ที่เข้ามาดำเนินการการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในไทย โดยได้ตั้งหน่วยงานใหม่ด้านบริการสิ่งแวดล้อม (Environmental Services) ในไทย เพื่อดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยเห็นว่าประเทศกำลังพัฒนาเช่นไทย มีต้นทุนต่ำหากจะลดการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จึงมีโอกาสที่จะขายคาร์บอนเครดิตจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทนให้กับประเทศที่พัฒนาแล้ว

"เราคิดว่าธุรกิจเทรดคาร์บอน เครดิต จะเป็นธุรกิจที่จะโตต่อไป นอกจากเราจะเข้ามาช่วยลูกค้าเรื่องไฟแนนซ์แล้ว ก็ยังจะเกิดประโยชน์กับสิ่งแวดล้อมในการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง โดยเราจะมีซอฟต์แวร์เพื่อเข้าไปช่วยลูกค้า ช่วงนี้ถือเป็นช่วงเริ่มต้นดำเนินการ ซึ่งเราต้องแน่ใจเกี่ยวกับมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล ว่าวิธีการทำงานเป็นอย่างไรก่อน" เขาระบุ

อย่างไรก็ตาม เขาเห็นว่า เรื่องการลงทุนลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ยังคงเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสำหรับลูกค้าคนไทย เพราะค่อนข้างใช้เงินลงทุนสูง หากลงทุนแล้วไม่ได้รับใบรับรองเพื่อนำไปสู่การซื้อขายคาร์บอนเครดิตในอนาคต การดำเนินการต่างๆ จึงต้องทำเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด

โดยเขาระบุว่า การซื้อขายคาร์บอนเครดิต ในสหภาพยุโรป มีวิธีการที่ง่าย แค่ยกบิลค่าไฟฟ้าให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดู เท่านี้ก็ได้เงินกลับคืนมา ถ้าเทียบกับในไทยที่มีความซับซ้อนมากกว่า
"การซื้อขายคาร์บอนเครดิต ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้มลพิษลดลง เพราะคนอื่นเป็นคนก่อแต่เราเป็นคนเข้าไปแก้ แต่อย่างน้อยก็ สร้างแรงจูงใจให้กับโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ในการลงทุนเพื่อลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ถ้าเขามั่นใจว่าลดแล้วสามารถนำไปซื้อขายกันได้ในอนาคต จะสร้างแรงจูงใจให้ทุกคนก็เกิดความกระตือรืนร้นที่จะทำอะไรเพื่อสิ่งแวดล้อมขึ้นมา" เขาตั้งประเด็นอย่างน่าสนใจ

"พิธีสารเกียวโต ยังไม่ทำให้เกิดการลดการใช้คาร์บอนไดออกไซด์ลงอย่างมากมาย เพราะ ราคาซื้อขายยังไม่สูงพอที่จะสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลดการใช้พลังงาน หรือปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ต้องผมเชื่อว่าราคาซื้อขายในปี 2551-2555 จะสูงขึ้น จากเกณฑ์การลดปริมาณการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่จะเข้มงวดมากขึ้น" เขากล่าว

ในทัศนะของเขายังเห็นว่า สาเหตุที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ปล่อยมลพิษสูงสุดในโลก แต่กลับไม่ยอมลงนามในพิธีสารเกียวโตนั้น เพราะเกรงว่าธุรกิจจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน อเมริกา แต่สำหรับประเทศอังกฤษ ยุโรป แม้จะเป็นประเทศที่ไม่ใหญ่ แต่ก็เริ่มมีการดำเนินการเรื่องนี้ ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องโลกร้อน ไม่ใช่ปัญหาส่วนตัวเฉพาะของคนใดคนหนึ่ง  เพราะขณะนี้ได้เกิดผลกระทบที่มองเห็นเป็นรูปธรรมขึ้นแล้วมากมาย   การเยียวยาดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้  เพียงแค่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่ให้เพิ่มขึ้น  เพื่อฉลอผลกระทบออกไป  และรักษาโลกเพื่อส่งต่อแก่ลูกหลานเราในอนาคต
การช่วยลดภาวะโลกร้อน เป็นภาระกิจที่ทุกคนควรช่วยกันทำ
ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก คม ชัด ลึก

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554

มลภาวะทางดิน

ภาวะมลพิษทางดิน (Soil Pollution) มีสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้
1. การกำจัดสารพิษด้วยการฝังดิน ตลอดจนการกำจัดขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ โดยการทิ้งบนดิน เป็นสาเหตุให้ดินมีสภาพไม่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูก
2. ปุ๋ยเคมีและสารเคมีที่ใช้ปราบศัตรูพืช    การทำไร่ฝ้าย ต้องใช้ทั้งปุ๋ยและยาฆ่าแมลง
3. เครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ยางรถยนต์ พลาสติก บรรจุภัณฑ์ ซึ่งสลายตัวยาก มีความทนทานต่อน้ำ แสงแดด และอากาศ จึงตกค้างอยู่ในดินและน้ำ

การกำจัดพลาสติก
                นักวิทยาศาสตร์ได้มีการคิดค้นวิธีกำจัดพลาสติกที่ใช้แล้ว และค้นคว้าเพื่อสังเคราะห์พลาสติกชนิดใหม่ ๆ ที่สามารถใช้งานได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นจะสลายตัวไป หรือสังเคราะห์พลาสติกที่จุลินทรีย์สามารถย่อยสลายได้  ปัจจุบันมีวิธีกำจัดพลาสติกได้หลายวิธีดังนี้
ปัญหามลพิษที่เกิดจากขยะ

ก) ใช้ปฏิกิริยาชีวเคมี
          สังเคราะห์พลาสติกที่มีโครงสร้างทางเคมีที่สามารถถูกทำลายได้ด้วยเอนไซม์ของจุลินทรีย์พวกแบคทีเรียหรือเชื้อรา  เช่น  เซลลูโลสซานเทต และเซลลูโลสแอซีเตต หรือการผสมแป้งข้าวโพดในพอลิเอทิลีน แล้วนำมาผลิตวัสดุบรรจุภัณฑ์
ข) ใช้สมบัติการละลายในน้ำ
          พลาสติกบางชนิด เช่น พอลิไวนิลแอลกอฮอล์ สามารถละลายในน้ำได้ เมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีความชื้นสูง หรืออยู่ในน้ำ เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น พลาสติกจะละลายได้เพิ่มขึ้น
ค) ใช้แสงแดด
                นักเคมีชาวแคนาดาพบว่าการเติมหมู่ฟังก์ชันที่ไวต่อแสงอัลตราไวโอเลตเข้าไปในโซ่พอลิเมอร์ เมื่อพลาสติกถูกแสงแดดจะเกิดสารที่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ ทำให้พลาสติกเสื่อมคุณสมบัติ เปราะ แตก และหักง่าย
ง) ใช้ความร้อน
                พลาสติกที่เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน เมื่อได้รับความร้อนถึงระดับหนึ่งจะสลายตัวเป็นโมเลกุลขนาดเล็ก ในที่สุดจะได้คาร์บอนไดออกไซด์กับน้ำ หรือสารอื่นซึ่งเป็นพิษปนออกมาด้วย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับชนิดของพลาสติก เช่น พอลิเอทิลีนติดไฟง่าย พอลิสไตรีนเผาไหม้ให้ควันดำและเขม่ามาก พอลิไวนิลคลอไรด์ติดไฟยาก ต้องให้ความร้อนตลอดเวลา และเกิดแก๊ส HCl  ซึ่งเป็นแก๊สพิษเกิดขึ้นด้วยการกำจัดพลาสติกโดยการเผา
จ) นำกลับมาใช้ใหม่
          พลาสติกประเภทเทอร์มอพลาสติกสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้

มลภาวะทางอากาศ

แหล่งกำเนิดมลภาวะทางอากาศ
        1.  การเผาไหม้เชื้อเพลิงของกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ รถยนต์ การเผาขยะมูลฝอย การผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง เป็นต้น ซึ่งทำให้เกิดก๊าซต่างๆ เช่น ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ขี้เถ้า และออกไซด์ของโลหะ เป็นต้น
       2. การฟุ้งกระจายของฝุ่นละอองและอนุภาคต่างๆ จากกิจกรรมผสม บด โม่ การก่อสร้าง และการขนส่งวัสดุและสินค้า
       3. โรงงานอุตสาหกรรมผลิตหรือแปรรูปวัตถุดิบ ได้แก่ การผลิตสารเคมี กระดาษ ปุ๋ย เหล็กกล้า อลูมิเนียม เป็นต้น ซึ่งอาจมีการปล่อยสารพิษออกมาเช่น ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ ออกไซต์ของซัลเฟอร์แอมโมเนีย ไออตะกั่ว สารหนู เป็นต้น
       4. การเกษตร เช่น การเผาพื้นที่ทำการเกษตร การฉีดพ่นสารเคมี ทำให้เกิดสารมลพิษจำพวก สารหนู สารตะกั่ว ควัน และขี้เถ้า เป็นต้น
       5. เตาปฏิกรณ์ เช่น การผลิตกระแสไฟฟ้า การทดลองระเบิดนิวเคลียร์ เป็นต้น ทำให้เกิดฝุ่นละอองของยูเรเนียม
       6. แหล่งกำเนิดจากธรรมชาติ เช่น ไฟป่า การเกิดปฏิกิริยาชีวเคมี ได้แก่ การเน่าเปื่อยและหมักของสารอินทรีย์ในน้ำ ดิน จะทำให้เกิดก๊าซมีเทน คาร์บอนไดออกไซด์ แอมโมเนีย เป็นต้น 
                การเผาไหม้เชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรมหรือในเครื่องยนต์ การเผาถ่านหินหรือเชื้อเพลิงที่มีกำมะถันและสารประกอบของกำมะถันเป็นองค์ประกอบ จะมีแก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) เกิดขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุของฝนกรด มีผลต่อการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำ ทำให้สีใบไม้ซีดจาง และสังเคราะห์แสงไม่ได้ ถ้าร่างกายได้รับ SO2 จะเกิดอาการปวดเมื่อยเรื้อรัง โลหิตจาง เป็นอันตรายต่อระบบหายใจและปอด   
2. การเผาไหม้เชื้อเพลิงปิโตรเลียมอย่างไม่สมบูรณ์ จะได้เขม่าและออกไซด์ของคาร์บอน ได้แก่ CO และ CO2  นอกจากนี้ยังได้แก๊สอื่น ๆ อีกหลายชนิด เช่น SO2 , NO2 และ H2S รวมทั้งเถ้าถ่านที่มีปริมาณโลหะน้อยมากเป็นองค์ประกอบ CO2 เป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก ส่งผลกระทบต่ออุณหภูมิของโลก
ควันจากโรงงานอุตสาหกรรมมีแก๊สหลายชนิดเกิดขึ้น 
ในบริเวณที่มีการจราจรคับคั่ง จะมี CO เกิดขึ้นมาก CO เป็นแก๊สพิษ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น  รวมกับฮีโมโกลบินเกิดเป็นคาร์บอกซีฮีโมโกลบินได้ดี  ทำให้เม็ดเลือดแดงไม่สามารถรับออกซิเจนได้ตามปกติ จะเกิดอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ถ้าร่างกายรับเข้าไปมากทันที อาจทำให้เสียชีวิตได้
 
3. การเผาไหม้เชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ต่าง ๆ มีไฮโดรคาร์บอนที่เผาไหม้ไม่หมดออกมาด้วย ไฮโดรคาร์บอนที่มีพันธะคู่จะรวมตัวกับแก๊สออกซิเจนหรือแก๊สโอโซน เกิดเป็นสารประกอบแอลดีไฮด์ซึ่งมีกล่นเหม็น ทำให้เกิดอาการระคายเคืองเมื่อสูดดม  ไฮโดรคาร์บอนสามารถเกิดปฏิกิริยากับ O2 และ NO2 เกิดสารประกอบเปอร์ออกซี แอซีทิลไนเตรต (PAN) ซึ่งเป็นพิษ ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อดวงตาและระบบทางเดินหายใจ มีผลต่อพืชโดยทำลายเนื้อเยื่อที่ใบ




การเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ชองเครื่องยนต์
ผลกระทบจากภาวะมลพิษทางอากาศ
       1. เป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ โดยเฉพาะระบบหายใจ มะเร็งผิวหนัง ระบบประสาท และอาจสะสมในเนื้อเยื่อร่างกาย
มลสารแต่ละชนิดจะเป็นผลกระทบต่อสุขภาพต่างกัน
       2. สารพิษที่ระบายออกสู่บรรยากาศ บางชนิดคงตัวอยู่ในบรรยากาศได้เป็นเวลานาน และแพร่กระจายออกไปได้ไกล บางชนิดเป็นปฏิกิริยาต่อกันและเกิดเป็นสารใหม่ที่เป็นอันตราย
       3. ทำให้เกิดฝนกรด โดยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงที่มีสารกำมะถันเจือปน เมื่อทำปฏิกิริยารวมตัวกับน้ำและกลั่นตัวเป็นฝน จะมีฤทธิ์เป็นกรด ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งก่อสร้าง
       4. ทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) เกิดจากก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซมีเทน ออกไซด์ของไนโตรเจน โอโซน และสารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFC) เมื่อลอยขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศ จะปกคลุมมิให้รังสีความร้อนจากผิวโลกระบายขึ้นสู่บรรยากาศระดับสูงขึ้นได้ ทำให้เกิดการสะสมความร้อนของผิวโลก 

การป้องกันและแก้ไขภาวะมลพิษทางอากาศ
       1. ลดสารภาวะมลพิษทางอากาศจากแหล่งกำเนิด โดยการเปลี่ยนแปลงคุณภาพเชื้อเพลิง ใช้เครื่องยนต์ที่มีมลพิษน้อย ปรับปรุงกระบวนการผลิต และลดมลพิษจากยานพาหนะ
       2. เข้มงวดกับมาตรการลดผลกระทบด้านภาวะมลพิษทางอากาศจากภาคอุตสาหกรรม โดยตรวจสอบการปล่อยมลสารต่างๆ จากภาคอุตสาหกรรมให้อยู่ในระดับมาตรฐาน และให้มีการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับภาวะมลพิษทางอากาศจากโรงงาน
       3. สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีการเกษตร โดยนำวัสดุเหลือใช้จากภาคเกษตรมาใช้เป็นพลังงานเพื่อลดการเผาวัสดุเหลือใช้จากการเกษตรในที่โล่ง
       4. ปรับปรุงระบบการกำจัดขยะมูลฝอยชุมชนให้มีการบริหารจัดการแบบครบวงจร ถูกหลักวิชาการ เพื่อลดการเผาขยะในที่โล่ง
       5. ป้องกันการเกิดไฟป่า ตรวจติดตามปฏิบัติการดับไฟป่า และฟื้นฟูสภาพหลังเกิดไฟป่า
       6. ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนที่มาจากธรรมชาติ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อลด ภาวะมลพิษทางอากาศจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงประเภทถ่านหิน
       7. ลดการใช้อุปกรณ์เครื่องใช้ที่มีสารประกอบของสารที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก เช่น สารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFC ) เป็นต้น
       8. สนับสนุนให้มีการใช้ระบบการขนส่งที่มีมลพิษน้อย และส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งมวลชน
       9. รณรงค์และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจอันตรายที่เกิดจากภาวะมลพิษทางอากาศ และมีส่วนรวมในการป้องกันแก้ไขมิให้เกิดภาวะมลพิษทางอากาศ
       10. ปรับปรุงกฎหมาย เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติตามและการใช้บังคับกฎหมายด้านการจัดการภาวะมลพิษทางอากาศ


ยาง

การเก็บน้ำยาง 
        ยาง คือวัสดุพอลิเมอร์ที่ ประกอบด้วยไฮโดรเจนและคาร์บอน ยางเป็นวัสดุที่มีความยืดหยุ่นสูง ยางที่มีต้นกำเนิดจากธรรมชาติจะมาจากของเหลวของพืชบางชนิด ซึ่งมีลักษณะเป็นของเหลวสีขาว คล้ายน้ำนม มีสมบัติเป็นคอลลอยด์ อนุภาคเล็ก มีตัวกลางเป็นน้ำ ยางในสภาพของเหลวเรียกว่าน้ำยาง ยางที่เกิดจากพืชนี้เรียกว่ายางธรรมชาติ ในขณะเดียวกันมนุษย์สามารถสร้างยางสังเคราะห์ได้จากปิโตรเลียม
ยางเเบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
        1.  ยางธรรมชาติ
        2.  ยางสังเคราะห์

ยางธรรมชาติ

 

น้ำยางจากต้นยาง
        ยางธรรมชาติ คือวัสดุพอลิเมอร์ที่มีต้นกำเนิดจากของเหลวของพืชบางชนิด ซึ่งมีลักษณะเป็นของเหลวสีขาว คล้ายน้ำนม มีสมบัติเป็นคอลลอยด์ อนุภาคเล็ก มีตัวกลางเป็นน้ำ
ประวัติยางธรรมชาติ
        ยางธรรมชาติเป็นน้ำยางจากต้นไม้ยืนต้น มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งคือยางพาราหรือต้นยางพารา ยางพารามีถินกำเนิดบริเวณลุ่มน้ำอเมซอน ประเทศบราซิล และเปรู ทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งชาวอินเดียนแดงเผ่ามายัน ในอเมริกากลาง ได้รู้จักการนำยางพารามาใช้ก่อนปี พ.ศ. 2000 โดยการจุ่มเท้าลงในน้ำยางดิบเพื่อทำเป็นรองเท้า ส่วนเผ่าอื่น ๆ ก็นำยางไปใช้ประโยชน์ ในการทำผ้ากันฝน ทำขวดใส่น้ำ แบะทำลูกบอลยางเล่นเกมส์ต่าง ๆ เป็นต้น จนกระทั่งคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสได้เดินทางมาสำรวจทวีปอเมริกาใต้ ในระหว่างปี พ.ศ. 2036-2039 และได้พบกับชาวพื้นเมืองเกาะไฮติที่กำลังเล่นลูกบอลยางซึ่งสามารถกระดอนได้ ทำให้คณะผู้เดินทางสำรวจประหลาดใจจึงเรียกว่า "ลูกบอลผีสิง"
        ต่อมาในปี พ.ศ. 2279 นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสชื่อชาลส์ มารีเดอลา คองตามีน์ (Charles Merie de la Condamine) ได้ให้ชื่อเรียกยางตามคำพื้นเมืองของชาวไมกาว่า "คาโอชู" (Caoutchouc) ซึ่งแปลว่าต้นไม้ร้องไห้ และให้ชื่อเรียกของเหลวที่มีลักษณะขุ่นขาวคล้ายน้ำนมซึ่งไหลออกมาจากต้นยาง เมื่อกรีดเป็นรอยแผลว่า ลาเทกซ์ (latex) และใน พ.ศ. 2369 ฟาราเดย์ (Faraday) ได้รายงานว่ายางธรรมชาติเป็นสารที่ประกอบด้วยธาตุคาร์บอนและไฮโดรเจน มีสูตรเอมไพริเคิล คือ C5H8 หลังจากนั้นจึงได้มีการปรับปรุงสมบัติของยางพาราเพื่อให้ใช้งานได้กว้างขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์

การผลิตยางธรรมชาติ
        แหล่งผลิตยางธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คิดเป็นร้อยละ 90 ของแหล่งผลิตทั้งหมด ส่วนที่เหลือมาจากแอฟริกากลาง ซึ่งพันธุ์ยางที่ผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ พันธุ์ฮีเวียบราซิลเลียนซิส (Hevea brasiliensis) น้ำยางที่กรีดได้จากต้นจะเรียกว่าน้ำยางสด (field latex) น้ำยางที่ได้จากต้นยางมีลักษณะเป็นเม็ดยางเล็ก ๆ กระจายอยู่ในน้ำ (emulsion) มีลักษณะเป็นของเหลวสีขาว มีสภาพเป็นคอลลอยด์ มีปริมาณของแข็งประมาณร้อยละ 30-40 pH 6.5-7 น้ำยางมีความหนาแน่นประมาณ 0.975-0.980 กรัมต่อมิลลิลิตร มีความหนืด 12-15 เซนติพอยส์ ส่วนประกอบในน้ำยางสดแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือ
          1. ส่วนที่เป็นเนื้อยาง 35%
          2. ส่วนที่ไม่ใช่ยาง 65%
            1. ส่วนที่เป็นน้ำ 55%
            2. ส่วนของลูทอยด์ 10%
        น้ำยางสดที่กรีดได้จากต้นยาง จะคงสภาพความเป็นน้ำยางอยู่ได้ไม่เกิน 6 ชั่วโมง เนื่องจากแบคทีเรียในอากาศ และจากเปลือกของต้นยางขณะกรีดยางจะลงไปในน้ำยาง และกินสารอาหารที่อยู่ในน้ำยาง เช่น โปรตีน น้ำตาล ฟอสโฟไลปิด โดยแบคทีเรียจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นหลังจากแบคทีเรียกินสารอาหาร คือ จะเกิดการย่อยสลายได้เป็นก๊าซชนิดต่าง ๆ เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซมีเทน เริ่มเกิดการบูดเน่าและส่งกลิ่นเหม็น การที่มีกรดที่ระเหยง่ายเหล่านี้ในน้ำยางเพิ่มมากขึ้น จะส่งผลให้ค่า pH ของน้ำยางเปลี่ยนแปลงลดลง ดังนั้นน้ำยางจึงเกิดการสูญเสียสภาพ ซึ่งสังเกตได้จาก น้ำยางจะค่อย ๆ หนืดขึ้น เนื่องจากอนุภาคของยางเริ่มจับตัวเป็นเม็ดเล็ก ๆ และจับตัวเป็นก้อนใหญ่ขึ้น จนน้ำยางสูญเสียสภาพโดยน้ำยางจะแยกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นเนื้อยาง และส่วนที่เป็นเซรุ่ม ดังนั้นเพื่อป้องกันการสูญเสียสภาพของน้ำยางไม่ให้อนุภาคของเม็ดยางเกิดการ รวมตัวกันเองตามธรรมชาติ จึงมีการใส่สารเคมีลงไปในน้ำยางเพื่อเก็บรักษาน้ำยางให้คงสภาพเป็นของเหลว โดยสารเคมีที่ใช้ในการเก็บรักษาน้ำยางเรียกว่า สารป้องกันการจับตัว (Anticoagulant) ได้แก่ แอมโมเนีย โซเดียมซัลไฟด์ ฟอร์มาลดีไฮด์ เป็นต้น เพื่อที่รักษาน้ำยางไม่ให้เสียสูญเสียสภาพ
        การนำยางธรรมชาติไปใช้งานมีอยู่ 2 รูปแบบคือ รูปแบบน้ำยาง และรูปแบบยางแห้ง ในรูปแบบน้ำยางนั้นน้ำยางสดจะถูกนำมาแยกน้ำออกเพื่อเพิ่มความเข้มข้นของ เนื้อยางขั้นตอนหนึ่งก่อนด้วยวิธีการต่าง ๆ แต่ที่นิยมใช้ในอุตหสาหกรรมคือการใช้เครื่องเซนตริฟิวส์ ในขณะที่การเตรียมยางแห้งนั้นมักจะใช้วิธีการใส่กรดอะซิติกลงในน้ำยางสด การใส่กรดอะซิติกเจือจางลงในน้ำยาง ทำให้น้ำยางจับตัวเป็นก้อน เกิดการแยกชั้นระหว่างเนื้อยางและน้ำ ส่วนน้ำที่ปนอยู่ในยางจะถูกกำจัดออกไปโดยการรีดด้วยลูกกลิ้ง 2 ลูกกลิ้ง วิธีการหลัก ๆ ที่จะทำให้ยางแห้งสนิทมี 2 วิธีคือ การรมควันยาง และการทำยางเครพ แต่เนื่องจากยางผลิตได้มาจากเกษตรกรจากแหล่งที่แตกต่างกัน ทำให้ต้องมีการแบ่งชั้นของยางตามความบริสุทธิ์ของยางนั้น ๆ

รูปแบบของยางธรรมชาติ
        ยางธรรมชาติสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามลักษณะรูปแบบของยางดิบ ได้แก่
          * น้ำยาง
            o น้ำยางสด
            o น้ำยางข้น
          * ยางแผ่นผึ่งแห้ง : ยางที่ได้จากการนำน้ำยางมาจับตัวเป็นแผ่นโดยสารเคมีที่ใช้จะต้องตามเกณฑ์ที่ กำหนด ส่วนการทำให้แห้งอาจใช้วิธีการผึ่งลมในที่ร่ม หรือ อบในโรงอบก็ได้แต่ต้องปราศจากควัน
          * ยางแผ่นรมควัน
          * ยางเครพ
          * ยางแท่ง : ก่อนปี 2508 ยางธรรมชาติที่ผลิตขึ้นมา ส่วนใหญ่จะผลิตในรูปของยางแผ่นรมควัน ยางเครพ หรือน้ำยางข้น ซึ่งยางธรรมชาติเหล่านี้จะไม่มีการระบุมาตรฐานการจัดชั้นยางที่ชัดเจน ตามปกติจะใช้สายตาในการพิจารณาตัดสินชั้นยาง ต่อมาในปี 2508 สถาบันวิจัยยางมาเลเซีย (Rubber Research Institute of Malaysia) ได้มีการผลิตยางแท่งขึ้นเป็นแห่งแรก เพื่อเป็นการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพของยางธรรมชาติให้ได้มาตรฐาน เหมาะสมกับการใช้งาน จนทำให้ยางแท่งเป็นยางธรรมชาติชนิดแรกที่ผลิตมาโดยมีการควบคุมคุณภาพให้ได้ มาตรฐาน ตลอดจนมีการระบุคุณภาพของยางดิบที่ผลิตได้แน่นอน
          * ยางแท่งความหนืดคงที่ : เป็นยางที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมทำผลิตภัณฑ์ที่ต้องการควบคุมความ หนืดของยางที่ใช้ในการแปรรูป เช่น อุตสาหกรรมยางท่อ, อุตสาหกรรมทำกาว
          * ยางสกิม : ยางสกิมเป็นยางธรรมชาติที่ได้จากการจับตัวน้ำยางสกิม (skim latex) ด้วยกรดแล้วนำยางที่ได้ไปทำการรีดแผ่นและทำให้แห้ง โดยน้ำยางสกิมเป็นน้ำส่วนที่เหลือจากการทำน้ำยางข้นด้วยการนำน้ำยางสดมา ทำการเซนตริฟิวส์ แยกอนุภาคเม็ดยางออกจากน้ำ ซึ่งอนุภาคเม็ดยางเบากว่าน้ำ ส่วนใหญ่จึงแยกตัวออกไปเป็นน้ำยางข้น น้ำยางข้นที่ได้มีปริมาณเนื้อยางอยู่ร้อยละ 60-63 ซึ่งน้ำยางสกิมคือส่วนที่เหลือจากการเซนตริฟิวส์แยกเนื้อยางส่วนใหญ่ออกไป แล้ว ก็ยังมีส่วนของเนื้อยางออกมาด้วย ซึ่งเป็นเนื้อยางที่มีขนาดอนุภาคเล็ก ๆ มีปริมาณเนื้อยางอยู่ร้อยละ 3-6

โครงสร้างหลักที่มีผลกระทบต่อสมบัติของยางธรรมชาติ
        ยางธรรมชาติมีชื่อทางเคมีคือ ซิส-1,4-พอลิไอโซพรีน (cis-1,4-polyisorene) เป็นโมเลกุลที่ประกอบด้วยคาร์บอนและไฮโดรเจนล้วน ทำให้มีสมบัติไม่ทนต่อน้ำมัน แต่เป็นฉนวนไฟฟ้าได้ดี ใน 1 โมเลกุลจะประกอบด้วยหน่วยของไอโซพรีน (C5H8) มาต่อกันเป็นสายโซ่ยาวแบบเส้นตรงใน 1 หน่วยไอโซพรีนจะมีพันธะคู่และหมู่อัลฟาเมทธิลีนที่ว่องไวต่อการเกิดปฏิกิริยา ทำให้สามารถวัลคาไนซ์ได้ด้วยกำมะถัน และทำให้ยางทำปฏิกิริยาได้ง่ายด้วยออกซิเจนและโอโซน ทำให้ยางเกิดการเสื่อมสภาพได้ง่ายเช่นเดียวกัน ดังนั้นการออกสูตรยางจำเป็นจะต้องมีแอนตี้ออกซิแดนท์และแอนตี้โอโซแนนท์ร่วมด้วย ยางธรรมชาติมีสายโซ่ที่เคลื่อนไหวหักงอไปมาได้ง่าย ทำให้ยางธรรมชาติคงสภาพยืดหยุ่นได้ดี มีอุณหภูมิของการเปลี่ยนสถานะคล้ายแก้ว ประมาณ -72 °C สามารถใช้งานได้ที่อุณหภูมิต่ำมาก สำหรับความสม่ำเสมอในโครงสร้างโมเลกุล ทำให้ยางธรรมชาติสามารถตกผลึกได้เมื่อยืด การเกิดผลึกเนื่องจากการยืดตัวยังทำให้ยางคงรูปมีสมบัติเชิงกลดีขึ้น นั่นคือ ยางจะมีความทนทานต่อแรงดึง ความทนทานต่อการฉีกขาด และความต้านทานต่อการขัดถูสูงขึ้น ยางธรรมชาติมีน้ำหนักโมเลกุลเฉลี่ยสูง อยู่ในช่วง 200,000 ถึง 400,000 และมีการกระจายตัวของน้ำหนักโมเลกุลกว้างมาก ทำให้ยางแข็งเกินไปที่จะนำไปแปรรูปโดยตรง จะต้องมีการบดยาง ก่อนที่จะนำไปใช้ในกระบวนการผลิต ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการบดยางโดยทั่วไปจะใช้เครื่องบดยางสองลูกกลิ้ง

ยางธรรมชาติประเภทอื่น ๆ (ปรับสภาพโครงสร้าง)
          * ยางฮีเวียพลัส เอ็มจี (Heveaplus MG) : ยางธรรมชาติที่มีการปรับสภาพโครงสร้างให้มีโครงสร้างโมเลกุลของเทอร์โม พลาสติกโดยโครงสร้างของยางเป็นสายโซ่หลัก (Backbone chain) และโครงสร้างของพอลิเมทธิลเมทาไครเลท (Polymethyl methacrylate) เป็นสายโซ่ที่มาต่อกับยางธรรมชาติ (Graft chain) เรียกว่า กราฟโคพอลิเมอร์
          * ยางธรรมชาติอิพอกไซด์ (ENR) : ยางธรรมชาติอิพอกไซด์ เป็นยางที่นำยางธรรมชาติมาปรับโครงสร้างโดยใช้สารเคมีจำพวกกรดเพอร์ออกซี่ (peroxy acid) ซึ่งยางจะมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลเข้มกว่ายางธรรมชาติปกติ ซึ่งสามารถเตรียมได้ทั้งชนิดน้ำยางและยางแห้ง โดยมีการผลิตขึ้นเพื่อปรับปรุงสมบัติบางประการของยางธรรมชาติให้ดีขึ้น เช่น ทำให้ยางมีความเป็นขั้วมากขึ้น สามารถทนต่อน้ำมันและตัวทำละลายที่ไม่มีขั้วได้ดีขึ้น สามารถทนต่อโอโซน และการซึมผ่านของอากาศได้ดี เพราะพันธะคู่ในโครงสร้างยางธรรมชาติมีปริมาณน้อยลง อย่างไรก็ตามก็จะมีสมบัติบางประการที่ด้อยกว่ายางธรรมชาติ เช่น มีความยืดหยุ่นต่ำลง และหากนำไปวัลคาไนซ์ด้วยกำมะถันยางจะไม่ทนต่อความร้อน ยาง ENR มักใช้ในอุตสาหกรรมกาว หรือสารยึดติด รองเท้า สี และยางรถยนต์ เป็นต้น
          * ยางผง (Powder Rubber) : ยางผง เป็นยางที่ผลิตออกมาในลักษณะที่เป็นเม็ด เพื่อให้สะดวกในการใช้งานกล่าวคือสามารถใช้งานในลักษณะการผลิตแบบต่อเนื่อง ได้และสามารถใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านการบดหรือตัดยาง
          * ยางธรรมชาติสกัดโปรตีน (DPNR) : ยางธรรมชาติสกัดโปรตีนเป็นยางที่มีการดัดแปลงสภาพของยาง เพื่อให้มีปริมาณโปรตีนในยางต่ำซึ่งจะเป็นการลดปริมาณไนโตรเจนและปริมาณเถ้าในยาง เนื่องจากการที่ยางมีโปรตีนในยาง (ร้อยละ 1) ทำให้ยางเกิดการวัลคาไนซ์เร็ว สมบัติบางประการของผลิตภัณฑ์ไม่ดี ไม่สามารถนำมาใช้งานในด้านวิศวกรรมได้ เนื่องจากสมบัติความทนทานต่อแรงกดหรือแรงกระแทกต่ำ และอาจมีการเกิดอาการแพ้โปรตีนในผลิตภัณฑ์ที่มีการสัมผัสโดยตรง เช่น ถุงมือ ทำให้มีความจำเป็นต้องลดปริมาณโปรตีนโดยการเตรียมน้ำยางที่มีโปรตีนต่ำก่อนนำไปทำผลิตภัณฑ์ หรือ ล้างน้ำหลาย ๆ ครั้ง สำหรับผลิตภัณฑ์ที่แยกโปรตีนด้วยการละลายน้ำได้
          * ยางไซไคลซ์ (Cyclised Rubber) : ยางที่ปรับสภาพโครงสร้างโมเลกุลของยาง โดยให้โมเลกุลของยางเกิดการเชื่อมโยงกันเองจนเป็นวง ทำให้มีสัดส่วนของพันธะที่ไม่อิ่มตัวลดลง ทำให้สมบัติยางเปลี่ยนไปและมีความแข็งแรงขึ้น
          * ยางเอสพี (SP Rubber) : ยางเอสพีหมายถึงยางที่มีส่วนผสมของยางวัลคาไนซ์ เช่น ยางเอสพี 20 คือ ยางที่มีส่วนผสมของยางที่วัลคาไนซ์อยู่ 20 ส่วนในยาง 100 ส่วน เป็นต้น

การผสมยางธรรมชาติกับพอลิเมอร์ชนิดอื่น
        ยางธรรมชาติเป็นยางที่มีสมบัติเด่นด้านควาเหนียวติดกันที่ดี, สมบัติด้านการขึ้นรูปที่ดี, ความร้อนสะสมในขณะการใช้งานต่ำ เป็นต้น แต่ก็มีสมบัติบางประการที่เป็นข้อด้อย ดังนั้นในการแก้ไขข้อด้อยนั้น สามารถทำได้โดยการเลือกเอาสมบัติที่ดีจากยางสังเคราะห์ชนิด อื่นมาทดแทน เช่น สมบัติด้านความทนทานต่อการขัดถูของยางบิวตาไดอีน (BR), สมบัติความทนทานต่อน้ำมันของยางไนไตรล์ (NBR), สมบัติความทนทานต่อความร้อนและโอโซนของยาง EPDM เป็นต้น โดยการผสมยางธรรมชาติกับยางสังเคราะห์เหล่านี้เข้าด้วยกัน แต่การที่จะผสมให้เข้ากันได้นั้นยางสังเคราะห์ชนิด นั้น ๆ ต้องไม่มีความเป็นขั้วเหมือนกับยางธรรมชาติ จึงจะทำให้ยางผสมรวมเข้ากันเป็นเฟสเดียวกันได้ดีขึ้น เช่น ยาง BR, SBR, EPDM และ NBR (เกรดที่มีอะคริโลไนไตรล์ต่ำ ๆ) ซึ่งปัจจัยที่มีผลโดยตรงต่อสมบัติของยางผสมที่ได้นั้น มีดังนี้
          * ความหนืดของยาง ยางธรรมชาติก่อนที่จะทำการผสมต้องทำการบดเพื่อลดความหนืดในตอนเริ่มต้นการผสมให้เท่ากับยางสังเคราะห์หรือใกล้เคียงซึ่งจะทำให้ยางทั้งสองผสมเข้ากันได้ดีขึ้น
          * ระบบการวัลคาไนซ์ของยาง ระบบที่ใช้ในการวัลคาไนซ์ต้องมีความเหมือนหรือแตกต่างกันไม่มากนัก เพื่อป้องกันการแยกเฟสของยางผสมขณะที่ทำการผสมยาง
          * ความเป็นขั้วของยาง ในกรณีที่ทำการผสมยางที่มีความเป็นขั้วแตกต่างกันมาก ควรพิจารณาถึงความสามารถในการกระจายตัวของสารเคมีในยางแต่ละชนิด โดยเฉพาะสารตัวเร่งและสารตัวเติม เพราะสารเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะกระจายตัวได้ดีในยางที่มีความเป็นขั้ว ซึ่งอาจส่งผลให้ยางผสมมีสมบัติต่ำลงจากที่ควรจะเป็น หากการกระจายตัวของสารเคมีไม่ดีเท่าที่ควร

ยางสังเคราะห์
        ยางสังเคราะห์ได้มีการผลิตมานานแล้ว ตั้งแต่ ค.ศ. 1940 ซึ่งสาเหตุที่ทำให้มีการผลิตยางสังเคราะห์ขึ้นในอดีต เนื่องจากการขาดแคลนยางธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์และปัญหาในการขนส่งจากแหล่งผลิตในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงปัจจุบันได้มีการพัฒนาการผลิตยางสังเคราะห์เพื่อให้ได้ยางที่มี คุณสมบัติตามต้องการในการใช้งานที่สภาวะต่าง ๆ เช่น ที่สภาวะทนต่อน้ำมัน ทนความร้อน ทนความเย็น เป็นต้น การใช้งานยางสังเคราะห์จะแบ่งตามการใช้งานออกเป็น 2 ประเภทคือ
          * ยางสำหรับงานทั่วไป (Commodity rubbers) เช่น IR (Isoprene Rubber) BR (Butadiene Rubber)
          * ยางสำหรับงานสภาวะพิเศษ (Specialty rubbers) เช่น การใช้งานในสภาวะอากาศร้อนจัด หนาวจัด หรือ สภาวะที่มีการสัมผัสกับน้ำมัน ได้แก่ Silicone, Acrylate rubber เป็นต้น
        การผลิตยางสังเคราะห์เป็นจะผลิตโดยการทำปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชัน (polymerization) ซึ่งการพอลิเมอไรเซชันคือ ปฏิกิริยาการเตรียมพอลิเมอร์ (polymer) จากมอนอเมอร์ (monomer) โดยพอลิเมอร์ ในที่นี้คือ ยางสังเคราะห์ที่ต้องการผลิต ในส่วนของมอนอเมอร์คือสารตั้งต้นในการทำปฏิกิริยานั่นเอง

ชนิดของยางสังเคราะห์
        1. ยางบิวไทล์ (Butyl Rubber, IIR) : ยางบิวไทล์เป็นโคพอลิเมอร์ระหว่างมอนอเมอร์ของไอโซพรีน และไอโซบิวทาลีน เพื่อที่จะรักษาสมบัติเด่นของไอโซบิวทาลีนไว้ ยางบิวไทล์จะมีปริมาณไอโซพรีนเพียงเล็กน้อย (ประมาณ 0.5-3 โมลเปอร์เซนต์) เพียงเพื่อให้สามารถวัลคาไนซ์ด้วยกำมะถันได้เท่านั้น เนื่องจากพอลิไอโซบิวทาลีนไม่มีพันธะคู่ที่ว่องไวต่อการทำปฏิกิริยา อย่างไรก็ตามการที่มีปริมาณไอโซพรีนเพียงเล็กน้อยนี้ทำให้การวัลคาไนซ์ยางบิวไทล์เป็นไปอย่างช้ามาก ทำให้เกิดปัญหาในการสุกร่วมกับยางไม่อิ่มตัวอื่น ๆ ยางบิวไทล์มีน้ำหนักโมเลกุลเฉลี่ยอยู่ในช่วง 300,000 ถึง 500,000 มีค่าความหนืดมูนี่ (ML1+4 100°C) อยู่ในช่วง 40 ถึง 70 การกระจายขนาดโมเลกุลค่อนข้างจะกว้าง ทำให้การแปรรูปยางบิวไทล์ทำได้ง่าย ยางบิวไทล์มีสมบัติที่ดีหลายประการ คือ ทนต่อการออกซิเดชัน ทนต่อโอโซน ทนต่อความดันไอน้ำได้สูง และมีความเป็นฉนวนไฟฟ้าที่ดี อย่างไรก็ตาม เนื่องจากยางบิวไทล์ปล่อยให้ก๊าซซึมผ่านได้ต่ำมาก ทำให้ตลาดส่วนใหญ่ของยางบิวไทล์ คือ ยางในรถยนต์ทุกขนาด
        2. ยางบิวตาไดอีน (Butadiene Rubber, BR) หรือ ยางบิวนา (Buna Rubber) ผลิตจากปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชันแบบสารละลาย (solution polymerization) ซึ่งมีการจัดเรียงตัวได้ทั้งแบบ cis-1,4 แบบ tran-1,4 และแบบ vinyl-1,2 โดยยางชนิดนี้จะมีน้ำหนักโมเลกุลเฉลี่ย ประมาณ 250,000-300,000 มีสมบัติเด่นด้านความยืดหยุ่น ความต้านทานต่อการขัดถู ความสามารถในการหักงอที่อุณหภูมิต่ำ ความร้อนสะสมในยางต่ำ และเป็นยางที่ไม่มีขั้วจึงทนต่อน้ำมันหรือตัวทำละลายที่ไม่มีขั้ว ยางบิวตาไดอีนส่วนใหญ่ใช้ในอุตสาหกรรมยางล้อ เพราะเป็นยางที่มีความต้านทานต่อการขัดถูสูง และมักถูกนำไปทำใส้ในลูกกอล์ฟและลูกฟุตบอลเนื่องจากมีสมบัติด้านการกระเด้ง ตัวที่ดี
        3. ยางสไตรีนบิวตาไดอีน (Styrene-Butadiene Rubber, SBR) : ยางสไตรีนบิวตาไดอีน หรือยาง SBR เป็นยางสังเคราะห์ที่เตรียมขึ้นโดยการนำสไตรีนมาโคพอลิเมอไรซ์กับบิวตาไดอีน โดยวิธีพอลิเมอไรเซชันแบบอิมัลชั่น (emulsion polymerization) โดยเรียกยางที่ได้ว่า E-SBR และอาจใช้วิธีพอลิเมอไรเซชันแบบสารละลาย (solution polymerization) เรียกว่า L-SBR โดยทั่วไปสัดส่วนของสไตรีนต่อบิวตาไดอีนอยู่ในช่วง 23-40%
        4. ยางซิลิโคน (Silicone Rubber) : เป็นยางสังเคราะห์ที่ใช้งานเฉพาะอย่างและราคาสูง เป็นได้ทั้งสารอินทรีย์และอนินทรีย์พร้อม ๆ กัน เนื่องจากโมเลกุลมีโครงสร้างของสายโซ่หลักประกอบด้วย ซิลิกอน (Si) กับออกซิเจน (O) และมีหมู่ข้างเคียงเป็นสารพวกไฮโดรคาร์บอน ซึ่งต่างจากพอลิเมอร์ชนิดอื่น ๆ ทำให้ยางซิลิโคน ทนทานต่อความร้อนได้สูง และยังสามารถออกสูตรยางให้ทนทานความร้อนได้สูงประมาณ 300°C ยางซิลิโคนมีช่องว่างระหว่างโมเลกุลที่สูงและมีความทนทานต่อแรงดึงต่ำ เนื่องจากมีแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลต่ำมาก
        5. ยางคลอโรพรีน (Chloroprene Rubber, CR) : มีชื่อทางการค้าว่า ยางนีโอพรีน (Neoprene Rubber) เป็นยางที่สังเคราะห์จากมอนอเมอร์ของคลอโรพรีน ภายใต้สภาวะที่เหมาะสม โมเลกุลของยาง CR สามารถจัดเรียงตัวได้อย่างเป็นระเบียบสามารถตกผลึกได้เมื่อดึง มีสมบัติคล้ายยางธรรมชาติ ยาง CR เป็นยางที่มีขั้วเนื่องจากประกอบด้วยอะตอมของคลอรีน ทำให้ยางชนิดนี้มีสมบัติด้านการทนไฟ, ความทนต่อสารเคมีและน้ำมัน ซึ่งผลิตภัณฑ์ยางที่ใช้งานในลักษณะดังกล่าวได้แก่ ยางซีล, ยางสายพานลำเลียงในเหมืองแร่ เป็นต้น


การผลิตยาง
       จากการผสมวัตถุดิบ จนถึง การตรวจสอบคุณภาพ


ผสม
       วัตถุดิบต่างๆ เช่น ยางดิบม สารเคมี ผงถ่าน และส่วนผสมอื่นๆ รวมกัน มากถึง 30 ชนิด ถูกผสมรวมกันในเครื่องผสมขนาดใหญ่ ซึ่งเรียกว่า เครื่องแบนบูรี่ ซึ่งจะทำการผสมส่วนผสมต่างๆ เข้าด้วยกันภายใต้ความร้อนและความดันส่วนผสมจะมีสีดำและเหนียว โดยส่วนผสมเหล่านี้จะถูกบดผสมกันอีกซ้ำกันหลายๆ ครั้ง ส่วนผสมที่ได้จะเรียกว่า คอมปาวด์ (Compound)

รีด
       คอมปาวด์ (Compaound) จะถูกส่งไปที่เครื่องรีด ในเครื่องรีดจะมีเกลียวหมุน ซึ่งจะผลักดันยางให้ผ่านออกมาตามรูปที่ต้องการ และยางที่รีดแล้วจะถูกทำให้เย็นลง ก่อนที่จะตัดเป็นชิ้นตามต้องการ

วงลวด
       ขอบลวดซึ่งทำหน้าที่รัดยางเข้ากับกระทะล้อจะถูกสร้างด้วยการนำเส้นลวดมาวางเรียงเป็นแผ่นแล้วเคลือบด้วยยาง จากนั้นก็นำไปพันทับขดเป็นวงตามขนาดล้อ แล้วใช้เส้นใยมาพันรอบ เพื่อให้ขดลวดแข็งแรงและคงรูปก่อนนำไปประกอบกับชิ้นอื่น

ผ้าใบ
       ลำดับต่อไปก็คือการปูแผ่นผ้าใบโครงยาง ใส่ขอบลวดใส่ชั้นยาง Apex เพื่อให้ความยืดหยุ่นบริเวณของล้อแล้วปูทับด้วยชิ้นยางแข็ง ซึ่งจะช่วยป้องกันการกดทับและ เสียดสีของขอบกระทะล้อกับยาง และเนื้อยางบริเวณแก้มยาง

หน้ายาง
       ลำดับต่อไปคือการใส่เข็มขัดขัดรัดรัดหน้ายาง ซึ่งจะเป็นชิ้นส่วนที่ช่วยป้องกันการทิ่มแทง และทำให้หน้ายางสัมผัสถนนเต็มที่ ต่อมาก็ใส่ชิ้นส่วนหน้ายางเป็นส่วนสุดท้าย รวมเป็นยางดิบหรือ Green Tire เพื่อนำเข้าขบวนการอบยางต่อไป

อบยาง
       การอบยาง (Vulcanize) จะเป็นการทำให้ยางดิบเป็นลายดอกยาง รวมทั้งเครื่องหมายหรือตัวหนังสือบนแก้มยาง ยางจะถูกอบที่อุณหภูมิสูงกว่า 300 องศาฟาเร็นไฮท์ 12-15 นาที ขึ้นอยู่กับขนาด เมื่อยางถูกอบได้ตามกำหนด ก็จะไหลจากเตาอบ ตามสายพานไปสู่จุดตรวจสอบ

ตรวจสอบ
       ยางจะถูกตรวจสอบขั้นแรกด้วยเจ้าหน้าที๋ผู้ชำนาญยางที๋ไม่ได้มาตราฐาน ที่กำหนดจะถูกแยกออกส่วนที่เหลือจะถูกส่งผ่านไป ตรวจสอบด้วยเครื๋องตรวจสอบอื่นต่อไป เจ้าหน้าที่ควบคุมคุณภาพจะสุ่มยาง เพื่อตรวจสอบภายในโครงยาง ด้วยเครื่องX-Ray รวมทั้งสุ่มตัวอย่าง ตัดวิเคราะห์ และนำยางไปวิ่งในห้องทดลองเพื่อวัดสมรรถนะ
เส้นใย

                เส้นใย หมายถึง วัสดุหรือสารใด ๆ ทั้งที่เกิดจากธรรมชาติและมนุษย์สร้างขึ้น มีอัตราส่วนระหว่างความยาวต่อเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากับหรือมากกว่า 100 เท่า สามารถขึ้นรูปเป็นผ้าได้ และต้องเป็นองค์ประกอบที่เล็กที่สุดของผ้า ไม่สามารถแยกย่อยในเชิงกลได้อีก

ประเภทของเส้นใย  สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท
1.    เส้นใยธรรมชาติ (Natural fibers) มีสมบัติดูดน้ำได้ดี แต่ยับง่าย แห้งช้า ไม่ทนต่อเชื้อรา แบ่งย่อยได้อีก 3ประเภท คือ
-          เส้นใยเซลลูโลสที่พบในส่วนต่าง ๆ ของพืช เช่น เส้นใยฝ้าย นุ่น ป่าน ปอ ใยมะพร้าว ลินิน ใยสับปะรด
-          เส้นใยจากสัตว์ เช่น ขนแกะ ขนแพะ ใยไหมซึ่งเป็นโปรตีน
-          เส้นใยที่ได้มาจากแร่ธาตุ เช่น เส้นใยหิน (asbestos)
2.    เส้นใยสังเคราะห์ (Human-made fibers) เกิดจากการนำพอลิเมอร์สังเคราะห์มาปั่น โมเลกุลของเส้นใยต้องมีขนาดยาวและมีการเรียงตัวของโมเลกุลเป็นระเบียบตามแนวแกนของเส้นใย เช่น ไนลอน พอลิเอสเทอร์ เส้นใยสังเคราะห์มีสมบัติไม่ยับง่าย ไม่ดูดน้ำ ซักง่าย แห้งเร็ว ทนต่อเชื้อรา แต่มีข้อเสีย คือ การระบายความร้อนไม่ดี จึงไม่เหมาะที่จะนำมาทอเป็นเสื้อผ้า

สมบัติของเส้นใย
สมบัติของเส้นใยมีผลโดยตรงต่อสมบัติของผ้าที่ทำขึ้นจากเส้นใยนั้น ๆ  ผ้าที่ทำจากเส้นใยที่แข็งแรงก็จะมีความแข็งแรงทนทานด้วย หรือเส้นใยที่สามารถดูดซับน้ำได้ดีจะส่งผลให้ผ้าสามารถดูดซับน้ำและความชื้นได้ดี เหมาะสำหรับการนำไปใช้ในส่วนที่มีการสัมผัสกับผิวและดูดซับน้ำ เช่น ผ้าเช็ดตัว ผ้าอ้อม เป็นต้น
ดังนั้นการที่เราเข้าใจสมบัติของเส้นใย จะช่วยทำให้สามารถทำนายสมบัติของผ้าที่มีเส้นใยนั้นๆ เป็นองค์ประกอบ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์สุดท้ายได้ ซึ่งจะช่วยให้สามารถเลือกชนิดของผลิตภัณฑ์ในเบื้องต้น ได้ถูกต้องตามความต้องการ ของการนำไปใช้
                ความแตกต่างของเส้นใยขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางกายภาพ องค์ประกอบทางเคมี และการเรียงตัวของโมเลกุล ซึ่งส่วนผสมและความแตกต่างในปัจจัยทั้งสามนี้ ทำให้เส้นใยมีสมบัติที่หลากหลายและแตกต่างกัน ซึ่งสมบัติของเส้นใยก็จะมีผลต่อสมบัติของผ้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากเส้นใยนั้น ทั้งในส่วนที่เป็นที่ต้องการและไม่ต้องการต่อการนำไปใช้งาน ยกตัวอย่างเช่น ในเส้นใยที่สามารถดูดซับน้ำได้น้อย จะส่งผลให้ผ้าที่ทำจากเส้นใยชนิดนี้มีสมบัติดังนี้

-          เกิดไฟฟ้าสถิตย์ (Static build-up) บนเนื้อผ้าได้ง่าย ทำให้ผ้าลีบติดตัว
-          ผ้าแห้งเร็ว เนื่องจากมีปริมาณน้ำที่ดูดซับน้อยและไม่มีพันธะ (bond) ระหว่างเส้นใยและ โมเลกุลของน้ำ
-          ย้อมติดสียาก เนื่องจากการย้อมสีส่วนใหญ่อาศัยน้ำเป็นตัวกลางพาโมเลกุลของสีเข้าไปในเนื้อผ้า ผ้าที่ไม่ดูดซับน้ำจึงติดสีย้อมได้ยากกว่า
-          สวมใส่สบายน้อยกว่า เนื่องจากการเหงื่อที่อยู่บนผิวถูกดูดซับน้อยทำให้รู้สึกเปียกชื้นได้
-          คงรูปได้ขณะเปียก (หรือขณะซัก) และผ้ายับน้อย ทั้งนี้เนื่องจากปริมาณน้ำที่ถูกดูดซับมีน้อย และไม่เกิดพันธะระหว่างเส้นใย และโมเลกุลของน้ำ ที่จะทำให้โครงสร้างเปลี่ยนแปลงไป

ปัจจัยที่มีผลต่อสมบัติของเส้นใย

1.    โครงสร้างทางกายภาพ โครงสร้างทางกายภาพหรือโครงสร้างทางสัณฐาน (morphology) ของเส้นใย สามารถสังเกตได้จากกล้องจุลทรรศน์ (microscope) ที่มีกำลังขยาย 250-1000 เท่า โครงสร้างทางกายภาพนั้นครอบคลุมถึง ความยาว ขนาดหรือเส้นผ่าศูนย์กลาง รูปร่างภาคตัดขวาง (cross-sectional shape) รูปร่างของผิวเส้นใย และความหยักของเส้นใย
2.    ความยาวเส้นใย (Fiber length) เส้นใยมีทั้งชนิดสั้นและยาว ซึ่งความยาวของเส้นใยจะมีผลต่อสมบัติและการนำไปใช้งานของผลิตภัณฑ์สิ่งทอ ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับชนิดของเส้นใยทั้งสองนี้ก่อน
-          เส้นใยสั้น (Staple fiber) เป็นเส้นใยที่มีความยาวอยู่ในช่วง 2 ถึง 46 เซนติเมตร (หรือ 0.7 ถึง 18 นิ้ว) เส้นใยธรรมชาติทั้งหมดยกเว้นไหมเป็นเส้นใยสั้น ยกตัวอย่างเช่น เส้นใยฝ้าย นุ่น ขนสัตว์ เส้นใยสั้นที่มาจากเส้นใยประดิษฐ์มักทำเป็นเส้นยาวก่อนแล้วตัด (chop) เป็นเส้นใยสั้นตามความยาวที่กำหนด
-          เส้นใยยาว (Filament fiber) เป็นเส้นใยที่มีความยาวต่อเนื่องไม่สิ้นสุด มีหน่วยวัดเป็นเมตรหรือหลา เส้นใยยาวส่วนใหญ่เป็นเส้นใยประดิษฐ์ ยกเว้นไหมซึ่งเป็นเส้นใยยาวที่มาจากธรรมชาติ เส้นใยยาวอาจเป็นชนิดเส้นยาวเดี่ยว (monofilament) ที่มีเส้นใยเพียงเส้นเดียว หรือเส้นใยยาวกลุ่ม (multifilament) ซึ่งจะมีเส้นใยมากกว่า 1 เส้นรวมอยู่ด้วยกันตลอดความยาว เส้นยาวที่ออกมาจากหัวฉีด (spinnerets) จะมีลักษณะเรียบซึ่งมีลักษณะเรียบคล้ายเส้นใยไหม หากต้องการลักษณะเส้นใยที่หยักก็จะต้องนำไปผ่านกระบวนการทำหยัก (crimp) ซึ่งเส้นใยที่ได้จะมีลักษณะคล้ายเส้นใยฝ้าย หรือขนสัตว์ ซึ่งส่วนมากเส้นใยที่ทำหยักมักจะนำไปตัดเพื่อทำเป็นเส้นใยสั้น 
 
3.       ขนาดเส้นใย ขนาดของเส้นใยมีผลต่อสมรรถนะการใช้งานและสมบัติทางผิวสัมผัส (hand properties) เส้นใยที่มีขนาดใหญ่จะให้ความรู้สึกที่หยาบและแข็งของเนื้อผ้า แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความแข็งแรงมากกว่าเมื่อเทียบกับเส้นใยชนิดเดียวกันที่มีขนาดเล็กกว่า ผ้าที่ทำจากเส้นใยที่มีขนาดเล็กหรือมีความละเอียดก็จะให้ความนุ่มต่อสัมผัส และจัดเข้ารูป (drape) ได้ง่ายกว่า

เส้นใยธรรมชาตินั้นมักมีขนาดที่ไม่สม่ำเสมอ คุณภาพของเส้นใยธรรมชาติมักจะวัดจากความละเอียดของเส้นใย เส้นใยที่มีความละเอียดมาก (ขนาดเล็ก) จะมีคุณภาพที่ดีกว่า การวัดความละเอียดมักวัดจากเส้นผ่าศูนย์กลางของเส้นใย (ภายใต้กล้องจุลทรรศน์) ในหน่วยของไมโครเมตร (1 ไมโครเมตรเท่ากับ 1/1000 มิลลิเมตร) ซึ่งโดยทั่วไปขนาดของเส้นใยธรรมชาติแต่ละชนิดมีดังตัวอย่างข้างล่างนี้

เส้นใยฝ้าย
16-20 ไมโครเมตร
ขนสัตว์ (แกะ)
10-15 ไมโครเมตร
ไหม
11-12 ไมโครเมตร
เส้นใยลินิน
12-16 ไมโครเมตร


สำหรับเส้นใยประดิษฐ์ที่ผลิตในอุตสาหกรรม ขนาดของเส้นใยจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่น ขนาดของรูในหัวฉีด (spinneret holes) การดึงยืดขณะที่ปั่นเส้นใยและหลังการการปั่นเส้นใย รวมไปถึงปริมาณและความเร็วของการอัดน้ำพลาสติกผ่านหัวฉีดในกระบวนการปั่นเส้นใย เส้นใยประดิษฐ์ที่ได้สามารถควบคุมความสม่ำเสมอได้ดีกว่าเส้นใยธรรมชาติ แต่ก็ยังมีส่วนที่ไม่สม่ำเสมอบ้างเนื่องจากความไม่คงที่ (irregularity) ของกระบวนการผลิต หน่วยที่มักใช้วัดความละเอียดของเส้นใยประดิษฐ์คือดีเนียร์ และ เท็กซ์

-          ดีเนียร์ (Denier) เป็นหน่วยการวัดขนาดของเส้นใย โดยเป็นน้ำหนักในหน่วยกรัมของเส้นใยที่มีความยาว 9,000 เมตร เส้นใยที่มีค่าดีเนียร์ต่ำจึงมีความละเอียดมากกว่า เส้นใยที่มีค่าดีเนียร์สูงเนื่องจากมีน้ำหนักน้อยกว่าในความยาวที่เท่ากัน
-          เท็กซ์ (Tex) เป็นหน่วยการวัดขนาดของเส้นใยคล้ายกับดีเนียร์ แต่เป็นน้ำหนักในหน่วยกรัมของเส้นใยที่มีความยาว 1,000 เมตร
-          ดีเนียร์ต่อฟิลาเมนต์ (Denier per filament, DPF) เป็นค่าที่วัดความละเอียดของเส้นใยที่อยู่ในเส้นด้ายซึ่งมีจำนวนเส้นใยตั้งแต่ 2 ขึ้นไป ดังนั้นค่าดีเนียร์ต่อฟิลาเมนต์จึงเท่ากับดีเนียร์ของฟิลาเมนต์นั้นหารด้วยจำนวนฟิลาเมนต์ (หรือจำนวนเส้นใย) ทั้งหมด

โดยทั่วไปเส้นใยที่ใช้สำหรับเสื้อผ้ามีขนาดอยู่ในช่วง 1 ถึง 7 ดีเนียร์ เส้นใยสำหรับทำพรมมีขนาดใหญ่อยู่ในช่วง 15 ถึง 24 ดีเนียร์ เส้นใยขนาดเท่ากันไม่ได้หมายความว่าจะมีความเหมาะสมต่อการนำไปใช้งานชนิดเดียวกันได้ เส้นใยที่ใช้สำหรับเสื้อผ้ามักจะนิ่มและละเอียดเกินกว่าที่จะทนต่อแรงกดได้ดีเหมือนเส้นใยที่ใช้ทำพรม ในทางกลับกันเส้นใยที่ใช้ทำพรมก็ให้ความรู้สึกต่อผิวสัมผัสที่ละเอียดน้อยกว่าเส้นใยที่ใช้ทำเสื้อผ้า

รูปร่างหน้าตัดขวางของเส้นใย
รูปร่างหน้าตัดขวางของเส้นใยมีผลต่อความเป็นมันวาว ลักษณะเนื้อผ้า และสมบัติต่อผิวสัมผัส เส้นใยมีรูปร่างหน้าตัดที่หลากหลายกัน เช่นวงกลม สามเหลี่ยม ทรงคล้ายกระดูก (dog bone) ทรงรูปถั่ว (bean-shaped) เป็นต้น

 

ความแตกต่างของรูปร่างหน้าตัดขวางของเส้นใยธรรมชาติ เกิดจากลักษณะการสร้างเซลลูโลสในขณะที่พืชเติบโต เช่นในเส้นใยฝ้าย หรือการกระบวนการสร้างโปรตีนในสัตว์ เช่น ขนสัตว์ หรือรูปร่างของช่อง (orifice) ในตัวไหมที่ทำหน้าที่ฉีดเส้นใยไหมออกมา สำหรับเส้นใยประดิษฐ์รูปร่างของหน้าตัดของเส้นใยขึ้นอยู่กับรูปร่างของรูในหัวฉีด 

ลักษณะผิวภายนอกของเส้นใย
ลักษณะผิวของเส้นใยมีทั้งแบบเรียบ เป็นแฉก หรือขรุขระ ซึ่งลักษณะผิวนี้มีผลต่อความเป็นมันวาว สมบัติต่อผิวสัมผัส เนื้อผ้า และการเปื้อนง่ายหรือยาก

ความหยัก (crimp)
ความหยักในเส้นใยช่วยเพิ่มความสามารถในการยึดเกาะ (cohesiveness) ระหว่างเส้นใย ทำให้สามารถคืนตัวจากแรงอัด (resilience) ได้ดี ทนต่อแรงเสียดสี (resistance to abrasion) มีความยืดหยุ่น มีเนื้อเต็ม (bulk) และให้ความอบอุ่น (warmth)

องค์ประกอบทางเคมีและการเรียงตัวของโมเลกุล
เส้นใยประกอบด้วยโมเลกุลจำนวนมาก โมเลกุลเหล่านี้มีลักษณะเป็นเส้นยาวเรียกว่าพอลิเมอร์ (polymer) ที่เกิดจากการเรียงตัวของหน่วยโมเลกุลเล็ก ๆ คือมอนอเมอร์ (monomer) และเชื่อมต่อกันด้วยพันธะเคมีด้วยกระบวนการสังเคราะห์ที่เรียกว่า พอลิเมอไรเซชัน (polymerization) ขนาดของพอลิเมอร์ขึ้นอยู่กับความยาวของโมเลกุลซึ่งบอกได้จากจำนวนของมอนอเมอร์ที่อยู่ในพอลิเมอร์นั้น (degree of polymerization) พอลิเมอร์ที่มีเส้นโมเลกุลยาวจะมีน้ำหนักโมเลกุล มากกว่าพอลิเมอร์ที่มีเส้นโมเลกุลสั้นเนื่องจากจำนวนมอนอเมอร์ที่มากกว่านั่นเอง ซึ่งจะมีผลต่อความแข็งแรงของเส้นใยที่พอลิเมอร์นั้นเป็นองค์ประกอบอยู่
โมเลกุลหรือพอลิเมอร์ที่อยู่ในเส้นใยจะมีการเรียงตัวแตกต่างกัน เมื่อแต่ละโมเลกุลมีการเรียงตัวอย่างไร้ทิศทาง (random) ก็จะทำให้เส้นใยบริเวณนั้นมีความเป็นอสัณฐาน (amorphous) ส่วนในบริเวณที่โมเลกุลมีการเรียงซ้อนขนานอย่างเป็นระเบียบก็จะมีความเป็นผลึก (crystalline) เกิดขึ้น เส้นใยที่มีความเป็นผลึกมากก็จะมีความแข็งแรงมากกว่าเส้นใยที่มีความเป็นผลึกน้อย อย่างไรก็ตามปริมาณความเป็นผลึกไม่ใช่ปัจจัยที่กำหนดความแข็งแรงของเส้นใย หากรวมไปถึงทิศทางการจัดเรียงตัวของโมเลกุลที่เป็นระเบียบเหล่านี้ด้วย ถ้าโมเลกุลมีการจัดเรียงตัวอยู่ในทิศทางที่ขนานกับแกนตามความยาวของเส้นใย ก็จะช่วยให้เส้นใยมีความแข็งแรงมาก เนื่องจากโมเลกุลเรียงตัวในทิศทางเดียวกับแรงที่กระทำต่อเส้นใย (ตามความยาว) ทำให้สามารถมีส่วนช่วยในการรับแรงเต็มที่ เรียกว่าเส้นใยนั้นมีการจัดเรียงตัวของโมเลกุลที่ดี (oriented fiber) ในอีกกรณีหนึ่งแม้เส้นใยจะมีบริเวณที่เป็นผลึกมาก แต่มีทิศทางการจัดเรียงตัวที่ไม่ขนานกับแกนตามยาวของเส้นใย โมเลกุลก็ไม่สามารถรับแรงในทิศทางการดึงเส้นใยได้เต็มที่ทำให้มีความแข็งแรงน้อยกว่าในกรณีแรก ดังนั้นในกระบวนการผลิตเส้นใยประดิษฐ์ จึงต้องมีการดึงยืดเส้นใยที่ออกมาจากหัวฉีด เพื่อเพิ่มความเป็นผลึกโดยการจัดเรียงโมเลกุลให้เป็นระเบียบ และทำการจัดเรียงโมเลกุลที่เป็นระเบียบเหล่านี้ให้อยู่ในทิศทางเดียวกับแกนตามยาวของเส้นใย กระบวนการนี้เรียกว่าการดึงยืด (stretching หรือ drawing) 

สมบัติของเส้นใยที่มีผลต่อสมบัติผ้า
1. สมบัติรูปลักษณ์ (Aesthetic properties)รูปลักษณ์ภายนอกของผ้ามักเป็นปัจจัยหนึ่ง ที่ผู้บริโภคใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สิ่งทอ ว่ามีความเหมาะสมต่อการนำไปใช้หรือไม่ สมบัติเหล่านี้ได้แก่ความเป็นมันวาว การทิ้งตัวของผ้า เนื้อผ้า และสัมผัส
1.1 สมบัติความเป็นมันวาว (Luster) สมบัตินี้เกี่ยวข้องกับปริมาณแสงที่ถูกสะท้อนกลับโดยผิวหน้าของผ้า ซึ่งผ้าที่สะท้อนแสงกลับออกมามากก็จะมีความเป็นมันวาวมาก สมบัตินี้ขึ้นอยู่กับลักษณะผิวหน้าของเส้นใย ด้าย สารเติมแต่ง และโครงสร้างผ้า ผ้าไหมเป็นตัวอย่างหนึ่งที่มีความมันวาวสูงเนื่องจากเส้นใยไหมมีผิวหน้าที่เรียบและเป็นเส้นยาวต่อเนื่อง (filament) การเลือกระดับของความมันวาวของผ้ามักขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งาน
1.2 การทิ้งตัวของผ้า (Drape) สมบัติการทิ้งตัวของผ้าเกี่ยวข้องกับลักษณะที่ผ้าตกลงบนรูปร่างที่เป็น 3 มิติ เช่นบนร่างกาย หรือบนโต๊ะ ว่าสามารถโค้งงอตามรูปทรงที่ผ้าวางอยู่ได้มากน้อยเพียงใด ผ้าที่สามารถทิ้งตัวได้ดีก็จะดูอ่อนนุ่ม สามารถจัดเข้ากับรูปทรงได้ง่าย ส่วนผ้าที่ทิ้งตัวได้น้อยมักจะมีความแข็ง สมบัติเหล่านี้ขึ้นอยู่กับความละเอียดของเส้นใย รวมทั้งลักษณะของเส้นด้ายและโครงสร้าง (การถักทอ) ของผ้าด้วย
1.3 เนื้อผ้า (Texture) เป็นสมบัติที่เกี่ยวข้องทั้งด้านที่มองเห็นด้วยตาและที่สัมผัสด้วยมือ ผ้าอาจจะมีผิวที่ดูเรียบ หรือขรุขระ ผ้าที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติมักจะมีผิวที่ดูไม่สม่ำเสมอเมื่อเทียบกับผ้าที่ทำจากเส้นใยประดิษฐ์ที่มีผิวเรียบ สมบัติของเนื้อผ้าขึ้นอยู่กับความเรียบของผิวหน้าของเส้นใยและเส้นด้าย ลักษณะการถักทอผ้าและการตกแต่งสำเร็จก็มีผลต่อสมบัติเนื้อผ้าเช่นกัน
1.4 สมบัติต่อผิวสัมผัส (Hand) สมบัติต่อผิวสัมผัสเกี่ยวข้องกับความรู้สึกต่อผิวเมื่อสัมผัสกับเนื้อผ้า ผ้าแต่ละชนิดอาจให้ความรู้สึกเย็น อุ่น หนา บาง ลื่น หรือนุ่ม แตกต่างกันไป สมบัตินี้ขึ้นอยู่กับสมบัติผิวหน้าของเส้นใย และเส้นด้าย รวมทั้งโครงสร้าง (การถักทอ) ของผ้า
 
2. สมบัติความทนทาน สมบัติความทนทานของผ้ามีผลต่ออายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่ทำจากผ้านั้นๆ สมบัติความทนทานของผ้าครอบคลุมทั้งสมบัติการทนต่อแรงเสียดสี (abrasion resistance) ทนต่อแรงดึง (tenacity)
2.1 สมบัติการทนต่อแรงเสียดสี เป็นสมบัติที่บอกถึงความสามารถของผ้าที่ทนต่อแรงขัดถู หรือเสียดสี ที่มักเกิดขึ้นตลอดเวลาการใช้งานของสิ่งทอ โดยเฉพาะเสื้อผ้า นอกจากนี้ความสามารถในการพับงอไปมาโดยไม่ขาด (flexibility) ก็เป็นสมบัติสำคัญที่เกี่ยวข้องกับสมบัติความทนของผ้า
2.2 สมบัติความทนต่อแรงดึง เป็นความสามารถของผ้าในการทนต่อแรงดึง ซึ่งความแข็งแรงนี้นอกจากจะขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของเส้นใยแล้ว ยังขึ้นอยู่กับลักษณะของเส้นด้ายและการขึ้นรูปเป็นผ้าอีกด้วย

3. สมบัติความใส่สบาย (Comfort properties) สมบัติความใส่สบายเกี่ยวข้องกับการที่ผู้สวมใส่รู้สึกเมื่อสวมใส่สิ่งทอภายใต้สภาวะสิ่งแวดล้อมและกิจกรรมต่าง ๆ สมบัตินี้มีความซับซ้อนเพราะนอกจากจะขึ้นอยู่กับสมบัติของผ้าที่เกี่ยวข้องจริงต่อความรู้สึกสบายในการสวมใส่แล้ว ยังขั้นอยู่กับอีกปัจจัยหนึ่งซึ่งสำคัญมากคือความรู้สึกพึงพอใจของผู้สวมใส่ที่มีต่อผลิตภัณฑ์สิ่งทอนั้นๆ  ซึ่งอาจก่อให้เกิดความแตกต่างหลากหลายขึ้นอยู่กับรสนิยมส่วนตัว และทัศนคติที่ผู้สวมใส่มีต่อผลิตภัณฑ์ ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะปัจจัยกลุ่มแรกที่เกิดจากตัวผลิตภัณฑ์เอง
3.1 สมบัติการดูดซับน้ำ (Absorbency) เป็นสมบัติที่เกี่ยวข้องกับความสามารถของเส้นใยที่จะดูดซับโมเลกุลของน้ำจากร่างกาย (ผิวหนัง) หรือจากอากาศรอบ ๆ
             
จากที่กล่าวมาแล้วนี้ เราจะเห็นได้ว่าสมบัติของผ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับสมบัติของเส้นใยเพียงอย่างเดียว หากแต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นอีกหลายอย่าง เช่น ชนิดและโครงสร้างของเส้นด้าย กระบวนการผลิตผ้า เป็นต้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อรูปลักษณ์ เนื้อผ้า ราคา สมรรถนะการใช้งาน รวมไปถึงการดูแลรักษา สารเติมแต่งก็มีผลต่อสมบัติด้านสัมผัส (hand properties) รูปลักษณ์ และสมรรถนะการใช้งานของผ้าด้วยเช่นกัน 

กระบวนการผลิตเส้นใย (Fiber manufacturing)
ในที่นี้จะกล่าวถึงตัวอย่างกระบวนการผลิตเส้นใยธรรมชาติและเส้นใยประดิษฐ์บางประเภท
 
เส้นใยธรรมชาติ 
ฝ้าย (cotton) ดอกฝ้ายที่แก่เต็มที่จะถูกเก็บเกี่ยวแล้วนำมาแยกสิ่งปลอมปนที่ไม่ต้องการ (trash) ออก แล้วทำการแยกเมล็ดออกจากเส้นใยฝ้ายดังแสดงในรูปข้างล่าง จากนั้นทำการสางใยและหวีเส้นใย (combing) เพื่อแยกเส้นใยที่สั้นเกินไปออก 

 

ขนสัตว์ (wool) กระบวนการผลิตเส้นใยขนสัตว์ เริ่มจากการนำขนที่ได้จากการเล็มจากแกะ มาทำการแบ่งเกรดตามคุณภาพของเส้นใย จากนั้นนำขนสัตว์เกรดเดียวกันที่คัดได้มาผสมให้ทั่ว (uniform) นำไปล้างไขมันและสิ่งสกปรกด้วยสบู่ แล้วทำการสางเส้นใย เส้นใยที่ได้จะถูกนำไปขึ้นรูปเป็นเส้นด้ายต่อไปเรียกว่า woolen yarn แต่ถ้าภายหลังการสางเส้นใยยังมีกระบวนการหวี (combing) เพื่อกำจัดเส้นใยสั้นออก แล้วทำการรีดปุยก่อนนำไปขึ้นรูป เป็นเส้นด้าย เส้นด้ายที่ได้นี้เรียกว่า worst yarn ซึ่งจะมีคุณภาพดีกว่า woolen yarn เนื่องจากมีปริมาณเส้นใยสั้นน้อยกว่า

เส้นใยประดิษฐ์ (man-made fibers) กระบวนการผลิตเส้นใยประดิษฐ์แบ่งได้เป็นสองส่วนใหญ่ ๆ คือ การเตรียมพอลิเมอร์ตั้งต้น และการขึ้นรูปเป็นเส้นใย 
1. การเตรียมพอลิเมอร์ตั้งต้น  ในการผลิตเส้นใยจากวัตถุธรรมชาติที่มีโครงสร้างโมเลกุลพอลิเมอร์อยู่แล้ว เช่นเส้นใยเรยอน ขั้นตอนการเตรียมพอลิเมอร์ตั้งต้นจะประกอบด้วยการย่อยวัตถุดิบ เช่นไม้ ให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ โดยใช้แรงกลและสารเคมี แล้วทำให้อยู่ในรูปของสารละลายเข้มข้น (polymer viscous) ส่วนในกรณีที่เป็นเส้นใยสังเคราะห์ ขั้นตอนการเตรียมพอลิเมอร์ก็จะเริ่มจากการสังเคราะห์พอลิเมอร์จากมอนอเมอร์ ซึ่งอาจเป็นแบบการรวมตัว (addition polymerization) หรือแบบกลั่น (condensation polymerization) ขึ้นอยู่กับชนิดของมอนอเมอร์ที่สังเคราะห์
2. การขึ้นรูปเป็นเส้นใย (fiber spinning) กระบวนการขึ้นรูปเป็นเส้นใยสามารถทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับชนิดของพอลิเมอร์ตั้งต้น กระบวนการขึ้นรูปพื้นฐานมี 3 แบบคือ แบบปั่นแห้ง (dry spinning) แบบปั่นเปียก (wet spinning) และแบบปั่นหลอม (melt spinning)

-          การผลิตเส้นใยแบบปั่นแห้ง (dry spinning) เริ่มต้นโดยการเตรียมพอลิเมอร์ให้อยู่ในรูปสารละลาย แล้วฉีดผ่านหัวฉีด (spinnerets) ทำการระเหยตัวทำลายส่วนที่เหลือในเส้นใยที่ฉีดออกมาโดยการใช้ลมร้อน (hot air) เป่า จากนั้นทำการดึงยืดเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของเส้นใย ตัวอย่างเส้นใยที่ขึ้นรูปโดยวิธีนี้ได้แก่ พอลิอะซิเทต พอลีไตรอะซิเทต และพอลีอะไครลิค
-          การผลิตเส้นใยแบบปั่นเปียก (wet spinning) เริ่มจากการเตรียมสารละลายพอลิเมอร์แล้วฉีดผ่านหัวฉีด (spinnerets) ที่จุ่มอยู่ในอ่างของสารละลายตกตะกอน (coagulation bath) เส้นใยที่ตกตะกอนออกมาจากสารละลาย จะถูกดึงยืดเพื่อเพิ่มความแข็งแรง แล้วทำให้แห้งโดยการใช้ลมร้อนเป่า ตัวอย่างเส้นใยที่ผลิตโดยวิธีนี้คือ เรยอน
-          การผลิตเส้นใยแบบปั่นหลอม (melt spinning) เริ่มจากการหลอมพอลิเมอร์ในเครื่องปั่นหลอม (melt extruder) แล้วทำการฉีดผ่านหัวฉีด (spinnerets) เส้นใยที่ได้ที่เริ่มแข็งตัวจะถูกดึงยืดเพื่อเพิ่มความแข็งแรง เส้นใยสังเคราะห์ส่วนใหญ่ผลิตโดยวิธีนี้ เช่น ไนลอน พอลีเอสเทอร์ พอลิเอทิลีน เป็นต้น 

 

รูปแสดงกระบวนการขึ้นรูปเส้นใยแบบปั่นแห้ง (dry spinning)

 
รูปแสดงกระบวนการขึ้นรูปเส้นใยแบบปั่นเปียก (wet spinning)